(กองทุน) ทิ้งหุ้นไฟฟ้า

ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับหุ้นพลังงานไฟฟ้าเหตุใดจึงร่วงหนัก ทั้ง GULF, BGRIM, BCPG, EA และอาจรวมถึง GPSC หากจะบอกว่ามาจากกรณี “ศิริ จิระพงษ์พันธ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานออกมาบอกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายโรงไฟฟ้าทางเลือก ก็อาจจะไม่ค่อยตรงมากนัก


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร

ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับหุ้นพลังงานไฟฟ้าเหตุใดจึงร่วงหนัก

ทั้ง GULF, BGRIM, BCPG, EA และอาจรวมถึง GPSC

หากจะบอกว่ามาจากกรณี “ศิริ จิระพงษ์พันธ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานออกมาบอกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายโรงไฟฟ้าทางเลือก

ก็อาจจะไม่ค่อยตรงมากนัก

เพราะโรงไฟฟ้าเหล่านี้ไม่ได้นับเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้าทางเลือกซักเท่าไหร่

หากย้อนกลับไปในช่วง 1-2 เดือนก่อนหน้านี้

ราคาหุ้นพลังงานไฟฟ้าที่กล่าวมานี้ ราคาพุ่งขึ้นมาร้อนแรงอย่างมาก

เช่น GULF ที่เคยขึ้นไปถึง 83 บาท

หรือ BGRIM ราคาขึ้นไปกว่า 33 บาท หุ้น EA ก็ขึ้นไปเคลื่อนไหวแถว 70 บาท

ราคาปรับขึ้นมาทำให้หุ้นพลังงานไฟฟ้าบางตัวมีพี/อีมากกว่า 60–70 เท่า ถือเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงเกินไป เมื่อมีการนำไปเปรียบเทียบกับหุ้น เช่น RATCH และ EGCO ที่มีพี/อีเพียง 10-12 เท่า

และมีผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 4-5%

แม้จะมีการบอกกันว่าหุ้นเหล่านี้มีอนาคตที่ดี

และแนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดีเรื่อยๆ และช่วยกดดันค่าพี/อีลงมาได้

แต่สำหรับนักลงทุนสถาบันหรือกองทุนอาจไม่ได้มองเช่นนั้นเสมอไป

หุ้นพลังงานไฟฟ้าเหล่านี้ล้วนมีกองทุนหลายๆ กองทุนเข้ามาถืออยู่จำนวนมาก

ต้นทุนของบางกองทุนอยู่ที่ราคาไอพีโอ

และบางกองทุนเข้ามาดักซื้อระหว่างทางก็มี

กองทุนต่างๆ ที่ว่านี้ เขาก็จะมีกฎเกี่ยวกับการลงทุนอยู่ว่า หากมีผลตอบแทนได้จำนวนเท่าไหร่ หรือถึงเป้าหมายแล้ว จะต้องทำการ “ปรับพอร์ต” หรือ “ขายทำกำไร”

อย่างหุ้นพลังงานไฟฟ้า เมื่อกองทุนต่างๆ มีผลตอบแทนที่มาเร็วกว่าช่วงเวลาที่กำหนดไว้ (หรือกองทุนไล่ราคาขึ้นมาเอง)

แน่นอนว่าก็ต้องขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไร

มีคำเตือนว่า การมีหุ้นที่กองทุนเข้ามาถืออยู่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

นักลงทุนจึงต้องระวังเองว่า หุ้นที่ตนเองถืออยู่และมีกองทุนเข้ามาถืออยู่ด้วย และหุ้นตัวนั้นๆ ราคาขึ้นมาแรง และใกล้ราคาเป้าหมาย หรือเลยราคาพื้นฐานไปแล้ว

นั่นจึงมีโอกาสที่จะถูกกองทุนสาดออกมาจากพอร์ต

การปรับพอร์ตของกองทุน นอกจากจะขายทำกำไรออกมา

อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ ในปี 2561 อัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนตราสารหนี้กลับมาเป็นช่วงขาขึ้น ทำให้กลุ่มนักลงทุนสถาบันมีการโยกเงินไปลงทุนในบอนด์ต่างๆ แทน

อย่างกรณีของหุ้น GULF เคยมีการนั่งถกกันในกลุ่มที่ปรึกษาทางการเงินกัน

เป็นประเด็นเกี่ยวกับว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในปี 2560 ปลายปี หรือปี 2561

แต่เมื่อมองกันว่าปีนี้ ผลตอบแทนตราสารหนี้เป็นช่วงขาขึ้น อาจทำให้หุ้นที่เข้าไปในปีนี้ (2561) ไม่คึกคักมากนัก และการตอบรับอาจไม่ดี จึงมีการนำเข้าตลาดหุ้นในช่วงปลายปี 2560

จริงแล้วมีคำแนะนำจากนักวิเคราะห์แบบนี้ครับ

ใครที่ถือหุ้นพลังงานไฟฟ้าเหล่านี้อยู่และมีกำไรก็จะขายออกไปก่อนก็ได้

หรือหากใครอยากจะถือระยะยาวก็ได้เช่นกัน แต่อาจจะต้องรอยาวซักหน่อย หรือ 2-3 ปีข้างหน้ากว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี

เพราะหุ้นไฟฟ้าที่ว่ามานี้ ต่างมีแผนการผลิตไฟฟ้า และ COD ที่แน่นอน

เพียงแต่ว่าราคาที่ปรับขึ้นมานั้น สะท้อนกับตัวเลขผลประกอบการไปบ้างแล้ว

มีการวิเคราะห์ว่าหุ้นพลังงานไฟฟ้าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบไปสักพัก

จนกว่าจะกลับเข้าสู่จุดที่เรียกว่า “สมดุล”

เว้นแต่จะมีข่าวดีหรือเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการผลิตไฟฟ้าใหม่ๆ ที่จะไปลงทุนต่างประเทศ

ราคาน่าจะกลับมาหวือหวา

และสนุกสนานกันได้อีก

Back to top button