พาราสาวะถี

สะกิดไว้ก่อนหน้า อย่าบอกว่าบรรดาทหารบูรพาพยัคฆ์ไม่รู้จักมักคุ้นกับนักการเมืองในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรีและใกล้เคียง เพราะธรรมเนียมปฏิบัติของการรับตำแหน่งสำหรับข้าราชการในพื้นที่ทุกครั้งเราจะได้เห็นการเข้าไปพบปะ แลกเปลี่ยนกับนักการเมืองอาวุโสของพื้นที่นั้น ๆ โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรี เพื่อสร้างความร่วมมือกันในหลาย ๆ เรื่อง


อรชุน

สะกิดไว้ก่อนหน้า อย่าบอกว่าบรรดาทหารบูรพาพยัคฆ์ไม่รู้จักมักคุ้นกับนักการเมืองในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรีและใกล้เคียง เพราะธรรมเนียมปฏิบัติของการรับตำแหน่งสำหรับข้าราชการในพื้นที่ทุกครั้งเราจะได้เห็นการเข้าไปพบปะ แลกเปลี่ยนกับนักการเมืองอาวุโสของพื้นที่นั้น ๆ โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรี เพื่อสร้างความร่วมมือกันในหลาย ๆ เรื่อง

เมื่อเป็นเช่นนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงส่ง สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ออกมายอมรับสำหรับ เสนาะ เทียนทอง เคยรู้จักกันมานานแล้ว แต่ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมหรือเกี่ยวข้องใด ๆ กัน เป็นการออกตัวแก้เก้อเท่านั้น วันนี้อย่างที่รู้กัน คนส่วนใหญ่เขาไม่ได้โฟกัสที่ว่าสนิทกันแค่ไหน แต่เขาดูเจตนาที่กำลังเป็นอยู่คือต้องการดูดนักการเมืองเหล่านั้นเข้ามาอยู่ใต้ชายคาพรรคทหารหรือไม่

จนกระทั่งท่านผู้นำออกมาตัดพ้ออยู่บ่อยครั้งว่า ถูกโยงทุกเรื่องเป็นการเมือง ซึ่งจะโทษใครไม่ได้ของพรรค์นี้มันอยู่ที่ท่าทีของตัวเองและคณะ ก็อย่างที่ องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกต การจะถูกโยงเป็นเรื่องการเมืองนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำของพลเอกประยุทธ์ และคนในรัฐบาลเองมากกว่า เพราะตั้งแต่นายกฯประกาศตัวเป็นนักการเมืองที่มาจากทหารเมื่อต้นปีที่ผ่านมา การแสดงออกของหัวหน้าคสช.และคนในรัฐบาลก็มีนัยยะทางการเมืองมาโดยตลอด

นอกจากนั้น ยังมีกระแสข่าวคนในรัฐบาลกำลังรวบรวมอดีตส.ส. เตรียมจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อหนุนบิ๊กตู่ให้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหลังการเลือกตั้ง การกระทำที่เกิดขึ้นหลากหลายเหตุการณ์จึงยากที่จะปฏิเสธว่าไม่โยงการเมือง ซึ่งหากไม่อยากให้คนมองเช่นนั้นก็ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ อย่าทำอะไรให้ถูกมองได้ว่า เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง

เช่นเดียวกับ สุริยะใส กตะศิลา ที่มองว่า ปี่กลองเลือกตั้งเริ่มดังขึ้น อารมณ์ความรู้สึกของพลเอกประยุทธ์ รวมทั้งคณะรัฐมนตรีก็พุ่งความสนใจไปที่การเตรียมการเลือกตั้ง เริ่มมองการเมืองหลังการเลือกตั้งกันไปหมดแล้ว เมื่ออารมณ์ร่วมมันเป็นเช่นนั้น มันจึงส่งผลถึงการกระทำ ที่แม้จะพยายามทำให้แนบเนียนอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะปิดให้มิดชิดได้

อย่างไรก็ตาม การทักท้วงของสุริยะใสไม่ได้พุ่งเป้าไปในประเด็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่มองในเรื่องการปฏิรูปเป็นด้านหลัก ด้วยกังวลว่าอารมณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ทำให้เจ้าภาพที่จะมาดูแผนการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งไม่รู้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของใคร พลเอกประยุทธ์ในระยะหลังก็เริ่มถูกดูดไปอยู่ในเกมของนักการเมืองมากขึ้น จนทำให้ขาดคนนั่งหัวโต๊ะที่จะกำกับและบัญชาการแผนการปฏิรูปให้ถึงฝั่ง

ดังนั้น 4 ปีคสช.ถ้าจะเรียกว่าการปฏิรูปค้างเติ่งก็คงได้ เพราะมีแต่แผนการ มีวาระ มีพิมพ์เขียว แต่ยังขาดการปฏิบัติการให้เป็นรูปธรรม 4 ปีของรัฐบาลและคสช. รูปธรรมของการปฏิรูปในระดับนโยบายยังไม่เห็นผลงานที่รัฐบาลพอจะอ้างเป็นชิ้นโบว์แดงกับประชาชนได้ว่าการปฏิรูปได้ทำไปแล้วหรือทำสำเร็จแล้ว ช่วงเวลาของรัฐบาลที่เหลืออยู่ราว 10 เดือนตามโรดแมปเลือกตั้งนั้น ยังไม่มีหลักประกันว่าจะเริ่มตรงไหน อย่างไร

คำถามสำคัญคือ จะสามารถทำได้จริงไหม โดยเฉพาะการวางเป้าหมายปฏิรูป 5 เรื่องใหญ่ ภายใน 8 เดือนของรัฐบาลนั้น ยังเป็นเพียงถ้อยแถลงและแผนการเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นแผนการครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ประเด็นนี้ตรงกันกับที่ จาตุรนต์ ฉายแสง เคยตั้งข้อสังเกตก่อนหน้า โดยแผนการผลักดัน 5 เรื่องเร่งด่วนดังกล่าวนั้นถูกเรียกเท่ห์ ๆ ว่า Quick Win

สำหรับ 5 เรื่องเร่งด่วนนั้นประกอบไปด้วย การปฏิรูประบบราชการและการอำนวยความสะดวก  การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม ทั้งหมดจาตุรนต์มองว่า ถ้าพลเอกประยุทธ์สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้คงทำมานานแล้ว

เกือบ 4 ปีที่ผ่านมามีการปฏิรูปอะไรไปบ้าง ข้าราชการระดับสูงต้องทำงานด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองจากการสั่งการตามอำเภอใจของหัวหน้าคสช. ข้าราชการโดยทั่วไปอาจได้รับการเอาอกเอาใจในด้านสิทธิประโยชน์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ถูกกันออกจากประชาชน เนื่องจากประชาชนในประเทศนี้ไม่มีสิทธิมีเสียง เมื่อไม่มีใครคอยตรวจสอบ ควบคุมการทำงานของข้าราชการ จะหวังให้ข้าราชการรับใช้ประชาชนย่อมเป็นไปไม่ได้

ขณะที่การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นเรื่องที่รัฐบาลคสช.ล้มเหลวมากที่สุด รัฐบาลนี้โอ้อวดอยู่แต่ตัวเลขในภาพรวม แต่ไม่ได้ให้ความสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เช่นเดียวกับการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นน่าจะอยู่ในจุดต่ำสุด ระบบและองค์กรที่ใช้ในการปราบคอร์รัปชั่นได้ถูกทำลายไปแล้วอย่างยับเยิน เพียงเพื่อให้บุคคลสำคัญของคสช.สามารถควบคุม กำกับ และใช้ประโยชน์จากระบบและองค์กรต่าง ๆ เพื่อพวกพ้องของตนได้

การมีส่วนร่วมของประชาชนเกือบจะไม่มีเลยมาตลอด ถ้ามีก็เป็นเพียงพิธีกรรมให้พอเอาไปอ้างได้ว่า มีแล้ว มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชนในทุกด้าน ทำให้ประชาชนไม่มีทางมีส่วนร่วมกับการดำเนินการใด ๆ ของรัฐได้ ไม่เพียงเท่านั้นคสช.และรัฐบาลนี้บริหารประเทศโดยเอื้อต่อผลประโยชน์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งในและต่างประเทศมาตลอด ความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนรายใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในโครงการสำคัญ มีแต่จะทำให้ผู้ที่รวยอยู่แล้วยิ่งรวยขึ้นและได้เปรียบมากขึ้น

ส่วนประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนยากคนจนหรือแม้แต่ธุรกิจเอกชนขนาดเล็ก ขนาดกลางต่างก็ตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบและถูกเอาเปรียบมากขึ้นและชัดเจนขึ้นทุกที การที่หัวหน้าคสช.และสวมหัวโขนผู้นำประเทศประกาศจะทำใน 5 ข้อจึงเป็นสิ่งที่สวนทางกับสิ่งที่คสช.กับพวกได้ทำมาตลอดเกือบ 4 ปี เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นการกระทำตรงข้ามกับสิ่งที่จะทำจริงในห้วงเวลาจากนี้เป็นต้นไปอย่างแน่นอน

Back to top button