กระทิงเปลี่ยวเซี่ยงไฮ้พลวัต2015

เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยหยุดทำการ แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกเปิดทำการตามปกติ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ที่เริ่มซึมซับข่าวร้ายบางส่วนกลับมาทะยานร้อนแรงอีกครั้ง บวกไปมากกว่า 2.5% ยืนเหนือ 4,700 จุดแข็งแกร่งปริมาณซื้อขายคึกคักเหมือนเดิมเมื่อสัปดาห์ก่อน


เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยหยุดทำการ แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกเปิดทำการตามปกติ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ที่เริ่มซึมซับข่าวร้ายบางส่วนกลับมาทะยานร้อนแรงอีกครั้ง บวกไปมากกว่า 2.5% ยืนเหนือ 4,700 จุดแข็งแกร่งปริมาณซื้อขายคึกคักเหมือนเดิมเมื่อสัปดาห์ก่อน

ความร้อนแรงของการซื้อขายในปัจจุบันของตลาดเซี่ยงไฮ้ ทำให้คนเกรงเพิ่มอีกว่ามาตรการกำกับดูแลหุ้นร้อนที่ตลาดหลักทรัพย์พยายามออกมาจะไม่สามารถยับยั้งภาวะฟองสบู่ของตลาดหุ้นได้

ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายประจำวันของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้แซงหน้าวอลล์สตรีทไปเป็นตลาดอันดับหนึ่งของโลกไปแล้ว โดยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ระดับเหนือ 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มากแค่ไหนให้เทียบกับมูลค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นนิวยอร์กและแนสแด็กรวมกันที่อยู่ในระดับ 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน จะเห็นความบ้าคลั่งของตลาดนี้ได้ชัดเจน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา มาตรการควบคุมหุ้นร้อนของตลาดถูกนำเสนอออกมาว่าให้โบรกเกอร์ควบคุมบัญชีซื้อขายแบบมาร์จิ้น (ปล่อยเงินกู้ให้ลูกค้าไปซื้อขายหุ้น) เข้มงวดขึ้น ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการขายทั่วกระดานหรือแพนิกเซลลิ่ง 

ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ในวันพฤหัสบดีนั้นร่วงทันทีชนิดดิ่งเหว ปิดลบไป 330 จุด หรือ 6.5% ทำให้วันนั้นมาร์เก็ตแคปของตลาดหายวับทันที 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มูลค่าซื้อขายของตลาดทำสถิติโลก เป็นการซื้อขายวันเดียว 3.8 แสนล้านบาท

เป็นมาตรการหักดิบแบบโหดสไตล์จีนที่ห้ามลอกเลียนแบบกันเลยทีเดียว

ถึงวันศุกร์ ดัชนีตลาดเซี่ยงไฮ้ยังเกิดภาวะแฮงค์โอเวอร์ต่อไปในภาคเช้าลบต่อไปอีก 220 จุด แต่มีแรงช้อนซื้อกลับเข้ามาดันดัชนีกลับไปปิดบวก 75 จุด สรุปแล้ววันเดียวดัชนีตลาดเหวี่ยงมากถึงเกือบ 300 จุด

แรงเหวี่ยงขาขึ้นนี้ยังไม่จบสิ้นเพราะความร้อนแรงของตลาดหุ้นจีน (ซึ่งแพร่ลามมาถึงตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย) ยังไม่สิ้นสุดการทะยานขึ้นที่มากกว่าภาวะกระทิงเปลี่ยวไม่มีใครคาดเดาว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด  

 คำอธิบายที่สมเหตุสมผลมากที่สุดในยามนี้คือแม้จะร้อนแรงผิดปกติแต่ค่าพี/อีของตลาดเซี่ยงไฮ้ยังถูกมากแค่ 16 เท่า (เทียบกับ 21 เท่าของตลาดไทยและ 25 เท่าของตลาดแนสแด็ก) 

ดัชนีตลาดเซี่ยงไฮ้ทะยานร้อนแรงจากระดับ 2,500 จุดเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนปีก่อน มาสู่ระดับ 4,900 จุดเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาก่อนแรงขายจะร่วงหนัก คิดแล้วภายใน 6 เดือนทะยานขึ้นมาเกือบ 100% แต่ยังไม่ทะลุยอดสถิติสูงสุดเมื่อครั้งฟองสบู่ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ในปี ค.ศ. 2007 หรือเมื่อ 8 ปีก่อน ที่เหนือ 6 พันจุด

มีคำอธิบายความร้อนแรงของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ยามนี้ว่าเกิดจาก 2 ปัจจัยหลักคือ

– การเคลื่อนย้ายทุนเก็งกำไรจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของผู้มีเงินออมจีนมาสู่ตลาดทุนโดยตรง

– การร่วมโหนกระแสความมั่งคั่งของกองทุนต่างชาติทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่พากันย้ายทุนจากตลาดอื่นในเอเชียและยุโรปมายังจีนและฮ่องกง

ในกรณีแรก มีข้อมูลประกอบที่ชี้ชัดว่าเป็นเช่นนั้นฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จีนที่ถูกมาตรการสารพัดคุมเข้มเอาไว้เพื่อแก้เงินเฟ้อของทางการจีนในสามปีนี้ทำให้การเก็งกำไรอสังหาฯ ทำได้ลำบากขึ้น ตัวเลขการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นใหม่ในรอบปีนี้ชัดเจนว่ากระโดดแรงทีเดียว

ในช่วง 5  เดือนแรกของปีนี้มีคนเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในจีน 29 ล้านบัญชี มากกว่าครึ่งหนึ่งของตัวเลขบัญชีนักลงทุนทั้งหมดในจีน 55 ล้านบัญชี โดยมีบัญชีซื้อขายบ่อยที่ 11 ล้านบัญชี สะท้อนว่านักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาดล่าสุด (rookie investors) นี้แหละคือพลังขับเคลื่อนสำคัญของตลาดเซี่ยงไฮ้

ตัวเลขดังกล่าวยังไม่เพียงพอเพราะมีตัวเลขเสริมว่า ยอดตัวเลขการซื้อขายด้วยบัญชีมาร์จิ้นของตลาดเซี่ยงไฮ้นั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าตัวเลขสัดส่วนนักลงทุนเสียอีกเพราะเพิ่มขึ้นมากถึง 10 เท่า หรือ 1,000% โดยเฉพาะตัวเลขซื้อขายผ่านบัญชีนี้ในวันพฤหัสบดีมากถึง 2.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 60% ของมูลค่าซื้อขายรวมทั้งตลาด

มาตรการคุมเข้มบัญชีมาร์จิ้นจึงเป็นการแก้ปัญหาฟองสบู่ตลาดที่ตรงจุดและในระยะยาวจะทำให้ความมั่นคงของบริษัทหลักทรัพย์เกิดขึ้นด้วยไม่สุ่มเสี่ยงในยามตลาดเป็นขาลง

ส่วนกรณีหลัง กองทุนต่างชาติที่หลั่งไหลกันเข้าไปร่วมวง ต่างพากันทำกำไรมากมาย กองลงทุนระยะยาวมี NAV เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนกองระยะสั้นอย่างพวกทริกเกอร์พากันปิดกองบรรลุเป้ารวดเร็วมาก

มีคำอธิบายว่าแม้ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ยามนี้จะร้อนเกินขนาดจนน่าเป็นห่วงแต่ความสุ่มเสี่ยงแบบปี ค.ศ. 2007 ที่ดัชนีตลาดร่วงต่อเนื่องยาวนาน 6 เดือน ถึง 75% จากระดับเหนือ 6,000 จุด มาอยู่ใต้ 1,500 จุด จะไม่เกิดขึ้นรุนแรง เพราะว่าเหตุปัจจัยต่างกันมากนับแต่ 

1) ขนาดของมาร์เก็ตแคปตลาดและจำนวนนักลงทุนมากกว่าช่วงนั้นหลายสิบเท่า 

2) จำนวนบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มมากขึ้นดังจะเห็นว่าปีนี้ 5 เดือนแรกมีบริษัทเข้าระดมทุนใหม่มากถึง 120 รายคอยดูดซับความมั่งคั่งส่วนเกินของการเก็งกำไรและประคองตลาดไม่ให้ลงแรง 

3) อัตราดอกเบี้ยในปี 2007 เป็นขาขึ้นส่งผลลบต่อจิตวิทยาตลาดให้ขายต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงส่งผลทางบวกให้ซื้อเป็นระยะๆ ได้ 

4) พี/อีตลาดยังต่ำโดยเปรียบเทียบกับตลาดอื่นในเอเชีย 

5) สภาพคล่องของทุนที่เหลือเฟือจากการย้ายจากตลาดอสังหาริมทรัพย์มาสู่ตลาดหุ้น จะทำให้ตลาดคึกคักต่อเนื่อง ไม่เกิดสภาพตลาดวาย

6) ความเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดช่องให้กับความยืดหยุ่นบริหารพอร์ตจากการซื้อขายสองตลาดพร้อมกันได้

คำอธิบายนี้จะเป็นจริง หรือแค่คำปลอบขวัญปลุกใจ ต้องติดตามกันต่อไป ห้ามกระพริบตา

 

Back to top button