สอยด่วน! 5 หุ้น“สื่อ-สิ่งพิมพ์”โชว์กำไร Q1 เด่นกลุ่ม แถมอัพไซด์หรูเกิน 20%

สอยด่วน! 5 หุ้น“สื่อ-สิ่งพิมพ์”โชว์กำไร Q1 เด่นกลุ่ม แถมอัพไซด์หรูเกิน 20% นำโดย RS,MACO,PLANB,TKS และ MAJOR


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”รวบรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 บริษัทในหมวดธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็นหลัก ซึ่งบริษัทที่มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นในการคัดเลือกครั้งนี้มีด้วยกัน 5 ตัว คือ RS,MACO,PLANB,TKS และ MAJOR ที่น่าสนใจราคาหุ้นดังกล่าวยังมีอัพไซด์สูงเกิน 20% ขณะเดียวกันผลงานในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่ายังสดใสต่อเนื่อง

อันดับ 1 คือ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 61 มีกำไรสุทธิ 101.94 ล้านบาท โต 116.86% จากปีก่อนมีกำไร 54.93 ล้านบาท เนื่องจากเป็นการเพิ่มขึ้นสูงของรายได้ธุรกิจพาณิชย์และอื่นๆ (Multi-platform Commerce หรือ MPC) ซึ่งต่อยอดมาจากธุรกิจสุขภาพและความงาม

ด้านนายดามพ์ นานา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.อาร์เอส (RS) เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มไตรมาส 2/61 สดใสเติบโตต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร เพราะขณะนี้ทั้งธุรกิจกลุ่ม Multi-platform Commerce (MPC) และช่อง 8 เป็นไปตามแผน ถือเป็นการต่อยอดกันระหว่าง 2 ธุรกิจอย่างคุ้มค่าที่สุด โดยเป็นการบริหารเวลาโฆษณาทั้งจากลูกค้าภายนอกที่ซื้อสื่อและการวางโฆษณาของผลิตภัณฑ์ของบริษัทเอง ทำให้เกิดผลของการใช้สื่ออย่างเต็มประสิทธิภาพ และกำไรของทั้งกลุ่มเติบโตสูงกว่าเดิมมาก

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า RS ประกาศกำไรสุทธิอยู่ที่ 102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, ลดลง 8% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และรายได้อยู่ที่ 969 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, 6% เทียบไตรมาสก่อนหน้า  ตามที่เราคาด แต่ต่ำกว่าตลาดคาดเล็กน้อย หนุนโดยรายได้จาก MPC business ที่เติบโตโดดเด่น 191%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ Gross profit margin ขยายตัวเป็น 40%จาก 32%ใน 1Q17 เนื่องจากสัดส่วนรายได้ MPC เพิ่มขึ้น กำไรสุทธิ ไตรมาส1/61 คิดเป็น 12.3% ของกำไรสุทธิทั้งปี เนื่องจาก Q1 เป็น low season เราคงประมาณกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 827 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148.2%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนยังคงเชื่อมั่นว่ารายได้จากธุรกิจหลักของบริษัทในปี 2018 ยังคงเติบโตโดดเด่น เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 35 บาท

 

อันดับ 2 บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 61 มีกำไรสุทธิ 52.82 ล้านบาท โต 42.28% จากปีก่อนมีกำไร 37.13 ล้านบาท เนื่องจกาในไตรมาสนี้บริษัทฯยังสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเข้าลงทุนในช่วงที่ผ่านมาและการพัฒนาสื่อดิจิทัล ส่งผลให้ไตรมาส1/61บริษัทฯมีรายได้ 290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.1% จากปีก่อนอยู่ที่ 190 ล้านบาท

ด้านนาย พุน ฉง กิต (MR.CK) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด(มหาชน) หรือ MACO ผู้นำเครือข่ายสื่อโฆษณานอกบ้าน เปิดเผยว่า จากกลยุทธ์การเพิ่มเครือข่ายสื่อโฆษณานอกบ้านให้ครอบคลุมทั่วประเทศผ่านการลงทุนในบริษัทสื่อโฆษณาที่ครอบครองพื้นที่ศักยภาพในในย่านธุรกิจสำคัญ อย่างบริษัท Multi Sign และ Comass ภายหลังการเข้าควบรวมกิจการนั้นส่งผลให้การเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง ทำให้ผลดำเนินงานในปี 2560 เป็นไปอย่างดีเยี่ยม ต่อเนื่องมาจนถึงในไตรมาสแรกของปี 2561 ที่บริษัทสามารถทำรายได้จากการดำเนินงานได้ถึง 290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53 % ส่วนกำไรสุทธิอยู่ 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% ช่วงเดียวกันจากปีก่อนหน้า

สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี 2561 MACO ยังคงพัฒนาพื้นที่สื่อที่มีในมืออย่างต่อเนื่อง และเพิ่มจุดติดตั้งสื่อใหม่ๆ ในพื้นที่ๆมีศักยภาพ ทั้งป้ายภาพนิ่งและป้ายดิจิทัล พร้อมกันนี้บริษัทยังมองโอกาสขยายธุรกิจไปต่างประเทศอย่างต่อเนื่องในกลุ่มประเทศ AEC เพื่อรองรับการใช้งบประมาณโฆษณาของสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในและต่างประเทศ โดยการขยายไปต่างประเทศจะเป็นรูปแบบของการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อขยายธุรกิจสื่อโฆษณาของเรา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร คาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนในกลางปีนี้

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง  ระบุในบทวิเคราะห์ว่า MACO รายงานกำไรสุทธิ 53 ล้านบาท ขยายตัวดี +42.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลักดันจากกำลังการรับรู้การให้บริการของบริษัท Co-mass เต็มปี และจำนวนป้าย  LED ที่เพิ่มเป็น 35 จอ จาก 21 จอในปีก่อน

อย่างไรก็ดีผลกำไรลดลง -27% เทียบไตรมาสก่อนหน้า อย่างน่าเสียดายเนื่องจาก ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองเกี่ยวกับคดีฟ้องร้องทางแพ่ง 23.6 ล้านบาท เกี่ยวกับสัญญาการให้บริการ กับ บจ.ไมดาส โกลบอล มีเดีย ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าไม่ได้ผิดข้อสัญญา แต่เพื่อความอนุรักษ์นิยม จึงบันทึกไว้ทั้งจำนวน ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษนี้ กำไรปกติจะสูงน่าพอใจมากถึง 76 ล้านบาท +5% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, +106% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำสถิติใหม่ของบริษัท นอกจากนี้อัตรากำไรขั้นต้นขยับขึ้นเป็น 62.4% จาก 61.9% ในไตรมาสก่อน และ 53.2% จากปีก่อน จากสัดส่วนรายได้จากป้าย LED ที่มากขึ้น และ อัตราใช้ป้ายที่สูงต่อเนื่อง ขณะที่ฐานะทางการเงิน กระแสเงินสด ปกติดี D/E 0.3x, ROE 18%, ระยะเวลาเก็บหนี้เร็วขึ้นเป็น 63 วัน

คาด MACO กำไรจะเดินหน้าขยายตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า และ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้ต่อ ทั้งจากฐานกำไรที่ต่ำก่อนหน้า และ การออกจากช่วง Low season ของอุตสาหกรรมโฆษณาในทุกๆไตรมาส 1 ซึ่งจากข้อมูลการใช้สื่อกลางแจ้งที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้คาดกว่าทิศทางตลอดปียังสดใส

ปรับปรุงประมาณการกำไรสุทธิลง 6% เป็น 285 ล้านบาท เพื่อสะท้อนรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายในไตรมาสนี้ แต่จากกำไรปกติ ไตรมาส1/61 ที่แข็งแรง 76 ล้านบาท ทำให้เชื่อว่าประมาณการกำไรใหม่จะสามารถใช้เป็นตัวแทนปีนี้ได้ เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 2.50 บาท/ หุ้น อิง P/E ค่าเฉลี่ยสื่อนอกบ้านในเอเชียแปซิฟิกที่ 30.1x

อันดับ 3 บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) (มหาชน) หรือ PLANB  รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 61 มีกำไรสุทธิ 139.10 ล้านบาท โต 37.80% จากปีก่อนมีกำไร 100.94 ล้านบาท

โดยบริษัทมีกำไรสุทธิเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีรายได้รวมเติบโต 16.2% มาที่ 804.5 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 692.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ต่อไตรมาสที่สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ซึ่งมาจากการเติบโตของสื่อโฆษณาทุกประเภท นอกจากนี้ บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน

ด้าน นายพินิจสรณ์ ลือชัยขจรพันธ์ กรรมการผู้จัดการ PLANB  เปิดเผยว่า สำหรับปี 2561 บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถรักษาการเติบโตของรายได้ในระดับ 15-20% เพื่อสร้างยอดขายในระดับ 3,500 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิในระดับ 18-20% ตามเป้าหมายประจำปีของบริษัท ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายธุรกิจตามแผนงานประจำปี โดยเฉพาะการขยายธุรกิจสื่อโฆษณาโดยการเติบโตภายใน (Organic growth) ตามแผนงานเพื่อพิ่มพื้นที่ให้บริการสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยครบวงจร (Media Capacity) เพิ่มขึ้นอีก 10-15% รวมเป็นพื้นที่ให้บริการสื่อโฆษณากว่า 4,700 ล้านบาทต่อปี (ไม่รวมพื้นที่สื่อโฆษณาจากการควบรวม M&A)

โดยในเดือน มิ.ย. 61 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการ Central world connect ซึ่งเป็นจอ Interactive DOOH ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นจอแรกในทวีปเอเชียด้วยขนาดเกือบ 4,000 ตารางเมตร และงบลงทุนกว่า 400 ล้านบาท มาพร้อมการแสดงโชว์ที่ตั้งใจทำให้กรุงเทพเป็นเหมือน Time square ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทำให้เราสามารถดึงลูกค้าที่เป็น global brand ระดับโลกได้มาก โดย Central World Connect ซึ่งมีกำลังการผลิตสื่อโฆษณา (Media Capacity) 200 ล้านบาทต่อปี ในขณะนี้มีลูกค้าจองพื้นที่โฆษณาแล้วกว่า 80%

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า PLANB (BUY, TP 7.70): รายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส1/61 ที่ 139.1 ลบ. เติบโต +37.8%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +57.2%เทียบไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 17.7% /11.3% จากการเติบโตของรายได้รวมที่ 804.5 ลบ. (+16.6%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +2.9%เทียบไตรมาสก่อนหน้า) สวนทางเม็ดเงินโฆษณาในประเทศที่ลดลง -7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และอุตสาหกรรมสื่อโฆษณานอกบ้านที่เติบโตเพียง +0.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยรายได้รวมที่เติบโตมาจากการเติบโตของสื่อทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นสื่อ Mass Transit (+8.1%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +18.5%เทียบไตรมาสก่อนหน้า) , สื่อ Static (+13.3%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +3%เทียบไตรมาสก่อนหน้า) ,  สื่อ Digital (+15.7%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, -3.6%เทียบไตรมาสก่อนหน้า) และสื่อในห้องสรรพสินค้า (+20%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +0.3%เทียบไตรมาสก่อนหน้า) หนุน Utilization rate งวดไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 68% ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 60%

อันดับ 4 บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ TKS รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 61 มีกำไรสุทธิ113.40 ล้านบาท โต 27.04% จากปีก่อนมีกำไร 89.27 ล้านบาท เนื่องจากเนื่องจากต้นทุนขายและบริการไตรมาส 1/61 ลดลงมาอยู่ที่ 240.81 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 255.86 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้น

บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่าTKS ช่วงไตรมาส1/61 มีกำไรสุทธิ 113.4 ล้านบาท เติบโต 27.0%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่หากไม่รวมรายการพิเศษรายได้ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี 16.3 ล้านบาทที่บันทึกในช่วง ไตรมาส1/61 พบว่า TKS มีกำไรก่อนหักภาษี (EBT) 97.2 ล้านบาท เติบโต 3.0%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแม้รายได้รวมจะหดตัว 10.3%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามสภาวะอุสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ที่หดตัว

อีกทั้งผลประหยัดต่อขนาดที่ลดลง กดดันให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 23.0% จากช่วง 1Q60 ที่ 26.6% แต่ปัจจัยลบดังกล่าวถูกชดเชยทั้งหมดด้วยแนวโน้มที่สดใสของ SYNEX (TKS ถือ 38.51%) หนุนให้ส่วนแบ่งกำไรเงินลงทุนจากบริษัทร่วมและการร่วมค้าโต 29.6%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงทำให้ช่วง ไตรมาส1/61 TKS มี EBT Margin เพิ่มเป็น 31.1% จากช่วง 1Q60 ที่ 27.0%

เพื่ออัพเดทข้อสรุปจากการขอทำคำเสนอซื้อ TBSP โดยปัจจุบัน TKS ได้เข้าถือหุ้นสามัญของ TBSP เพิ่มเป็น 77.74% จากเดิมที่ 19.89% มีผลให้ต้องเปลี่ยนการบันทึกบัญชีเป็นงบการเงินรวม จากเดิมที่บันทึกเป็นส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม อีกทั้ง TKS ยังได้รับอานิสงส์บวกจากการเติบโตของส่วนแบ่งกำไรเงินลงทุนในบริษัทร่วม SYNEX ที่มีแนวโน้มจะดีกว่าคาด ดังนั้นเพื่อสะท้อนปัจจัยข้างต้นเราจึงขอปรับเพิ่มประมาณการตั้งแต่ปี 2561 โดยภายใต้ประมาณการณ์ใหม่คาดปี 2561 TKS จะมีกำไรสุทธิ 490 ล้านบาท เติบโต 45.9%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (เพิ่มขึ้นจากเดิม 22.9%)

เพื่อสะท้อนแนวโน้มกำไรปีนี้ที่จะโตสดใส จากส่วนแบ่งกำไร SYNEX และโอกาสได้งานพิมพ์พิเศษไปรษณีย์ทายผลฟุลบอกโลก 2018 ซึ่งจะเริ่มแข่งขันในช่วง 14 มิ.ย.-15 ก.ค. นี้  นอกจากนี้ช่วง 2Q61 จะเป็นไตรมาสแรกที่ TKS เริ่มรวมงบการเงินกับ TBSP อีกทั้งยังมี Upside 49.5% จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2561 ที่ 16.3 บาท (อิง PER 14x และ Fully diluted EPS ที่ 1.17 บาท) พร้อมกับคาดให้ Div. Yield ปีนี้ราว 6.7% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

อันดับ 5 บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/61 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 61 มีกำไรสุทธิ 284.32 ล้านบาท โต 8.60% จากปีก่อนมีกำไร 261.80 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนการให้บริการไตรมาส1/61 ลดลงมาอยู่ที่ 1.19 พันล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1.22 พันล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนไตรมาส 1/61 เพิ่มขึ้นเป็น 71.47 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 40.55 ล้านบาท

บล. ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ว่า  MAJOR กำไรสุทธิ ไตรมาส1/61 อยู่ที่ 284 ล้านบาท ดีกว่าคาดที่ 258 ล้านบาท รายได้รวม -8.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 1,950 ล้านบาท จากรายได้ตั๋วภาพยนตร์ -11.6% เพราะภาพยนตร์ไม่ทำเงิน รายได้โฆษณา -4.3% จากลูกค้า naming sponsor ที่ถอนตัว 1 ราย และรายได้ของกลุ่ม MPIC   -70.6% ไม่มีภาพยนตร์เข้าฉาย ส่วนรายได้อาหาร/เครื่องดื่มและโบว์ลิ่งยังโต ต้นทุนและ SG&A -6.2% และ -6.1% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงเจรจาลดค่าเช่า รายได้อื่น +14.4% จากกำไรขาย PVR ส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วม +76.2% ดีกว่าคาดได้ และภาษีจ่าย -49.5% ต่ำกว่าคาด จากอัตราภาษีจ่ายที่ 11.1% จากปีก่อนที่ 19.5% และที่คาดไว้ 20%

2Q61 ภาพยนตร์ใหญ่เข้าฉายหลายเรื่อง เช่น Avengers: Infinity War ที่ MAJOR มีรายได้ราว 460 ล้านบาท ดีกว่า Fast 8 ในปีก่อน และที่จะทยอยเข้าฉาย Deadpool 2 – Jurassic World: Fallen Kingdom – Solo: A Star Wars Story -Rampage รวมถึงภาพยนตร์ไทยอย่าง น้องพี่ที่รัก (กระแสดี)-ตุ๊ดตู่กู้ชาติ อีกทั้งยังควบคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้มีแผนเปิดโรงเพิ่มอีก 28 โรง ทำให้ครึ่งปีแรกเปิดไป 41 โรง

ยังคงกำไรในปี 2561 ที่ 1,306 ล้านบาท +9.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาพื้นฐาน 35 บาท (P/E 24 เท่า) โดย 2H61 ยังมีภาพยนตร์ใหญ่ฉายต่อเนื่องและเปิดโรงเพิ่มอีก 30 โรง เป็นตัวหนุน ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button