โดนเท..อีกแล้ว

*ดูเหมือนบรรยากาศการลงทุนในยามที่ดัชนีพุ่งหูดับตับไหม้จะอบอวนไปด้วยความชื่นมื่น พร้อมกับมีการสรรหาเรื่องดี ๆ มาเล่าสู่กันฟังเยอะแยะไปหมด แต่ทันทีที่ทุกอย่างไม่เป็นเหมือนกับที่คาดการณ์กันไว้ ทุกอย่างก็มลายหายไปในพริบตานั้น “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่เห็นจนชิน แถมเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่เดือนเมษายน จึงไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใดนะจ๊ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*ดูเหมือนบรรยากาศการลงทุนในยามที่ดัชนีพุ่งหูดับตับไหม้จะอบอวนไปด้วยความชื่นมื่น พร้อมกับมีการสรรหาเรื่องดี ๆ มาเล่าสู่กันฟังเยอะแยะไปหมด แต่ทันทีที่ทุกอย่างไม่เป็นเหมือนกับที่คาดการณ์กันไว้ ทุกอย่างก็มลายหายไปในพริบตานั้น “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่เห็นจนชิน แถมเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่เดือนเมษายน จึงไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใดนะจ๊ะ

*สิ่งที่เกิดขึ้นในเที่ยวนี้ ถึงไม่มีอะไรต่างจากเดิม กองทุนตัวแสบยังคงดันหุ้นไปออกของ ฝรั่งขี้นกยังตั้งหน้าตั้งตาขายหุ้น ปอบผีฟ้ายังยึดหลักตีหัวเข้าบ้าน แมงเม่ายังคงเข้า ๆ ออก ๆ กันเป็นว่าเล่น ผลดังกล่าวทำให้ดัชนียังคงวนเวียนในกรอบ 1,750-1,800 จุด “โมนิก้า” จึงขอถามกลับไปว่า ดัชนีทรุดตัวลงมาปิดที่ 1,766.86 จุด ลบไป 6.24 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6 หมื่นล้านบาท มันมีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าเจ้าคะ

*เนื่องจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้ยังโฟกัสไปยังกำไรในไตรมาส 1 ปี 2561 ออกมาดีขนาดไหน ? เพราะเป็นตัวแปรที่บอกให้รู้ว่า หุ้นควรจะขึ้นไปถึงระดับไหน ? ส่วนประเด็นการเพิ่มน้ำหนัก และลดน้ำหนักของดัชนี MSCI “โมนิก้า” ถือเป็นมูฟเม้นที่ช่วยบิ้วท์อารมณ์ให้อยาก “ซื้อ” หรือ “ขาย” เท่านั้น เพราะหุ้นที่โดนปรับออกจากการคำนวณ โดนสาดทิ้งแบบไม่มีเยื่อใยแบบนี้..เอาแบบที่สบายใจดีกว่านะคะ

*ขนาดหุ้นมหาอุดอย่าง GULF ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกระเทียมดอง แต่ราคาหุ้นดันโดนเทหน้าตาเฉย ทำให้ความหวังที่จะได้เห็นหุ้นขึ้นไปทำ new high กลายเป็นหมันชั่วคราวในทันที โดยที่หุ้นลงมายืนปิดที่ 70 บาท ลบไป 3 บาท หรือลงไป 4% ด้วยมูลค่า 1.42 พันล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติมากเกินไป และการที่หุ้นเดินมาทรงนี้ ย่อมเป็นโอกาสทองของนักเล่นในการช้อนของถูก..จริงไหมตัวเอง!

*เหมือนกับในรายของ SAWAD แมงลือกระซิบข้างหูให้ฟังว่า ถือเป็นหุ้นที่มีสตอรี่เกี่ยวกับทิศทางในการทำธุรกิจที่น่าสนใจเยอะแยะ แต่ราคาหุ้นกลับไม่ขานรับสักเท่าไหร่ ? “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในแวดวงตลาดหุ้น แถมวันนี้ยังเม้าท์ถึงโปรเจกต์โน้นโปรเจกต์นี้ โดยราคาหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ 43.75 บาท ลบไป 3 บาท หรือลงไป 6.40% ด้วยมูลค่า 1.42 พันล้านบาท มันโอเวอร์แอ็คติ้งเกินไปไหม ?..งานนี้บอกได้แค่ว่า ลงมาต้องทยอยสะสมค่ะ

*ส่วนในรายของ BDMS อันนี้ขึ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานล้วน ๆ แรงซื้อถึงไหลกลับเข้ามาอย่างฉับพลัน จนหุ้นพุ่งขึ้นมาปิดที่ 24.80 บาท บวกไป 1.20 บาท หรือขึ้นไป 5% ด้วยมูลค่า 4.20 ล้านบาท มันเป็นสูตรคำนวณที่ถูกคิดจากความคาดหวังกำไรปี 2561 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากธุรกิจโรงพยาบาลอยู่ในช่วงซบเซามาระยะหนึ่ง ทุกคนเลยเชื่อกันว่า ท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพจะเปิดรอไปอีกนาน…ส่วนเรื่องจริง ๆ จะเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า ? ต้องดูกันเอาเองนะคะ

*งานนี้ “โมนิก้า” บอกได้แค่ว่า ทฤษฎีเขาว่าไว้อย่างนั้น แต่แนวทางปฏิบัติอาจเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ซึ่งเปรียบได้กับกรณีของ CPF ใคร ๆ ก็คิดว่า คงม้วนเสื่อกลับบ้าน หลังออกอาการเมาหมัดให้เห็นมาระยะหนึ่ง แต่วานนี้กลับทะยานขึ้นมาปิดที่ระดับ 25 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือขึ้นไป 6.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.14 พันล้านบาท ทำให้ขาลุยมองเป้าด้านบนแถว 28 บาทอีกรอบไงล่ะคะ

*เช่นเดียวกับในรายของ BEC ถ้ามองในมุมของนักเล่นระดับพระกาฬ ทุกคนลงความเห็นการปรับตัวของราคาหุ้นขึ้นมาปิดที่ 10.10 บาท บวกไป 1.05 บาท หรือขึ้นไป 11.60% ด้วยมูลค่า 280 ล้านบาท มันเป็นการดันราคาหุ้นในลักษณะสงครามกองโจรชัด ๆ “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักลงทุนที่คิดจะเข้าเล่นในวันนี้ พิจารณาถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นให้ดีเสียก่อน เดี๋ยวจะหาว่า ไม่เตือน! นะจะบอกให้

*ตะเภาเดียวกับในรายของ VNG หายหน้าหายตาไปจากวงการพักใหญ่ ๆ แต่ในช่วงหลัง ๆ เริ่มมีวอลุ่มมากขึ้นวันละนิดวันละหน่อย “โมนิก้า” เลยเกรงว่า อาจเป็นการซุ่มโป่งของแก๊งบางแก๊ง เพื่อดันราคาหุ้นไปออกของราคาสูง คิดดูซิ..ก่อนหน้านี้ยังดันหุ้นให้เห็นเป็นช่วง ๆ แต่ทันทีที่งบไม่ดี พรรคพวกกระโดดหนีตายกันจ้าละหวั่นแบบนี้..เดี๊ยนถึงอยากให้ระวังการลงมาปิดที่ 8.55 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 5.50% มันอาจไม่ใช่ราคาต่ำสุดนะจ๊ะ

*เหมือนกับในรายของ ICHI เพราะหุ้นลงแรงด้วยเหตุผลกำไรทรุดฮวบฮาบ “โมนิก้า” ถึงยกมือสนับสนุนให้ทิ้งอย่างเต็มที่ และเมื่อมองในมุมของโอกาสในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ยิ่งทำให้หุ้นตัวนี้น่ากลัวมากขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว เพราะของมันเห็นกันเต็มสองลูกตาว่า ยังมีโซ่ตรวนภาษีน้ำหวานมาค้ำคออีกดอกหนึ่ง  การที่หุ้นลงมายืนอยู่ที่ 5.85 บาท ลบไป 1.40 บาท หรือลงไป 19.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 175 ล้านบาท แสดงว่า ไม่มีใครเอาจริง ๆ นะเนี่ย!

*เช่นเดียวกับในรายของ JMART ทรุดลงมาทำราคาต่ำสุดของวันที่ระดับ 9.40 บาท ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาปิดที่ 10.80 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 3.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 140 ล้านบาท ล้วนเป็นผลมาจากเอฟเฟ็กต์ตัวเลขไตรมาส 1 พลิกขาดทุน แต่ในขณะเดียวกันก็เชื่อกันว่าไตรมาส 2 จะเริ่มดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม จึงมีแรงซื้อไหลกลับเข้ามาอีกรอบ..แต่จะไปได้ไกลขนาดไหน คงขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่ทำมา..อิอิอิ

Back to top button