โบรกฯชี้ BANPU เด่นสุดในกลุ่ม กำไร Q2/61 โตเฉียด 3.5 พันลบ. เคาะเป้า 25 บ.

โบรกฯชี้ BANPU เด่นสุดในกลุ่ม ลุ้นกำไร Q2/61 โตเฉียด 3.5 พันลบ. เคาะเป้า 25 บ.


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU หลังรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/61 พลิกขาดทุน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายพิเศษคดีโรงไฟฟ้าหงสา แต่อย่างไรก็ดี ทางนักวิเคราะห์ได้มีการประเมินธุรกิจว่าผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/61 เป็นต้นไป

โดยราคาหุ้น BANPU ปิดตลาดวานนี้ (17 พ.ค.61) ที่ระดับ 21.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 0.93% สูงสุดที่ระดับ 21.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 21.20 บาท มูลค่าซื้อขาย 2.36 พันลบ. โดยราคาหุ้นปรับตัวในแดนบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 นับตั้งแต่ราคาปิดที่ระดับ 19.60 บาท เมื่อวันที่ 9 พ.ค.61

ด้านนักวิเคราะห์ บล.เอเอสแอล ระบุ ราคาหุ้น BANPU ขณะนี้ outperform กลุ่ม โดยสัปดาห์นี้ราคาหุ้นปรับเพิ่ม 6% เทียบกับสัปดาห์ก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาถ่านหินที่ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวยังคงหนุนกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 รวมทั้งปริมาณขายที่ เพิ่มขึ้น

เบื้องต้นประเมินว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/61 จะกลับมาอยู่ที่ 3-3.5 พันล้านบาท ซึ่งรวมไปถึงผลประกอบการจากลุ่มธุรกิจไฟฟ้าที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยยังคงกำไรสุทธิปี 61 ไว้เท่าเดิม แต่มีโอกาสปรับเพิ่มจากแนวโน้มราคาถ่านหินที่สูงกว่าสมมติฐานที่เราประเมินไว้ เรายังคงมุมมองเชิงบวก และให้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสม 25 บาท/หุ้น

นอกจากนี้ ประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ไว้ที่ 9.1 พันล้านบาท แม้เรารวมผลกระทบจากค่าใช้จ่ายพิเศษเกี่ยวกับคดีโรงไฟฟ้าหงสาตามคำสั่งศาลฯ กว่า 2.7 พันล้านบาท แต่กำไรสุทธิปี 61 ยังเติบโต 15% เทียบกับปีก่อน

โดยก่อนหน้านี้บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/61 ขาดทุน 1.3 พันล้านบาท เป็นผลกระทบครั้งเดียว ที่เกิดจากค่าใช้จ่ายดังกล่าว ระยะสั้นเรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อราคาถ่านหิน ซึ่งได้ประโยชน์จากภาวะอุปทานถ่านหินในภูมิภาคที่ตึงตัว โดยเฉพาะผลจากมาตรการจีนในการปิดท่าเรือทางตอนใต้ของจีน ยิ่งเป็นปัจจัยจำกัดอุปทาน ขณะที่ความต้องการใช้ถ่านหินยังคงเติบโตตามการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ

ด้าน นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า บริษัทคงเป้าปริมาณการขายถ่านหินปีนี้ 45 ล้านตัน แม้ปัจจุบันจะมีปริมาณขายถ่านหินล่วงหน้าไปแล้ว 97% ของเป้าทั้งปี ซึ่งส่วนหนึ่งได้ล็อคราคาขายไปแล้ว แต่ยังเหลืออีก 71% ของปริมาณขายล่วงหน้าที่ยังไม่กำหนดราคาขาย โดยคาดราคาขายถ่านหินปีนี้อยู่ที่เฉลี่ย 80-85 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ขณะที่ราคาในตลาดโลกอยู่ที่ 104-107 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน

สำหรับปริมาณการสำรองถ่านหินของบริษัท ณ สิ้นไตรมาส 1/61 ลดลงเหลือ 741 ล้านตัน ซึ่งบริษัทมีแผนจะหาปริมาณสำรองเพิ่มเป็น 15 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 11 ปี เน้นการเพิ่มปริมาณถ่านหินจากเหมืองในอินโดนีเซีย โดยอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนขุดเหมืองให้ลึกขึ้น พร้อมกับศึกษาการซื้อเหมืองถ่านหินบริเวณใกล้เคียงกับเหมืองของบริษัท คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงปี 62

ส่วนการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการ Shale Gas ในสหรัฐฯ คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้ หลังราคาก๊าซมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาก๊าซในตลาดโลกจะเพิ่มเป็น 3.03 เหรียญสหรัฐฯ/ล้านบีทียูภายในปี 62 จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.8 เหรียญสหรัฐฯ/ล้านบีทียู อีกทั้งบริษัทมองว่าการลงทุนในธุรกิจก๊าซเป็นการกระจายความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนที่ดี

ทั้งนี้ ภายในปี 63 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะกระจายสัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี ,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย ( EBITDA) ของ 4 ธุรกิจเป็นดังนี้ ธุรกิจถ่านหิน 45% ธุรกิจไฟฟ้า 40% ธุรกิจก๊าซ 10% และธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน 5% จากปัจจุบัน ธุรกิจถ่านหิน 65% ธุรกิจไฟฟ้า 30% ธุรกิจก๊าซ 5% ส่วนธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานอยู่ในช่วงเริ่มต้น

แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 คาดว่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/61 และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่ปริมาณการขายถ่านหินผ่านจุดต่ำสุดของปีในช่วงไตรมาสแรก และราคาขายถ่านหินยังคงอยู่ในระดับสูง

ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้ายังดำเนินต่อไปตามปกติ ไม่มีการปิดซ่อมบำรุงและไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษคดีโรงไฟฟ้าหงสาเข้ามากดดันเหมือนที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1/61 ทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/61 เป็นต้นไป

Back to top button