พาราสาวะถี

โหมโรงกันมาตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสำหรับกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง โดย “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นำทีมไปแจกพัด “ยุทธนอคคิโอ” ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอโศก เชิญชวนให้คนไปทวงเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีตำรวจตามประกบพยายามห้ามและให้ยุติการแจก แต่กลุ่มดังกล่าวก็เดินแจกพัดที่เตรียมมาจนหมด


อรชุน

โหมโรงกันมาตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสำหรับกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง โดย “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นำทีมไปแจกพัด “ยุทธนอคคิโอ” ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอโศก เชิญชวนให้คนไปทวงเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีตำรวจตามประกบพยายามห้ามและให้ยุติการแจก แต่กลุ่มดังกล่าวก็เดินแจกพัดที่เตรียมมาจนหมด

ก่อนที่จะเดินทางกลับตำรวจได้ขอตรวจบัตรประชาชน 1 ในสมาชิกที่มาร่วมแจกไว้เป็นที่ระลึก 1 ใบ นั่นแค่น้ำจิ้ม สิ่งที่ต้องติดตามคือการตั้งขบวนหรือนัดรวมตัวกันใน 5 โมงเย็นวันนี้ที่บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อจัดกิจกรรมปราศรัย เล่นดนตรี พร้อมทำป้ายสัญลักษณ์สำหรับขบวนพาเหรด โดยมีการระบุในแผนเตรียมการว่า พี่น้องจากต่างจังหวัดค้างคืนด้วยกัน

จากนั้นวันรุ่งขึ้น 7 โมงเช้าจะจัดขบวนมุ่งหน้าพาเหรด 4 ปีแห่งระบอบคสช.สู่ทำเนียบรัฐบาล ตามแนวทางที่แกนนำได้ประกาศไว้คือ ร่วมกันสื่อสาร สร้างสรรค์ สันติ และคาดว่าจะจบกิจกรรมในเวลาบ่ายโมง สำหรับข้อเรียกร้องนั้น รังสิมันต์ โรม ระบุว่ามีอยู่ 3 ประการคือ ต้องการให้มีการเลือกตั้งภายในปีนี้ ยุบ คสช.และให้รัฐบาลเป็นเพียงรัฐบาลรักษาการ และ เรียกร้องให้กองทัพหยุดสนับสนุนคสช.

แน่นอนว่า ถ้าฟังจากคำประกาศอันเด็ดขาดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งในนามหัวหน้าคสช.และนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องมากดดันเพราะบอกไว้แล้วว่าจะเลือกตั้งในต้นปีหน้า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกรอบและกติกา ที่คณะเผด็จการได้วางแผนไว้ทั้งหมด ดังนั้นคนที่ออกมาเคลื่อนไหว สิ่งที่ผู้นำย้ำมาตลอดคือ ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ถ้านอกเหนือไปจากนั้นต้องดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด

ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นท่าทีอันสอดประสานกันทั้ง พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจโทชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ประกาศิตไม่อนุญาตให้เคลื่อนขบวนไปทำเนียบฯ เนื่องจากทำเนียบฯถือเป็นพื้นที่ควบคุมอีกทั้งการเคลื่อนขบวนจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนผู้ใช้ถนนในเส้นทางดังกล่าว

พร้อมขู่ด้วยว่า หากฝ่าฝืนจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และการข่าวยังไม่มีสิ่งบอกเหตุว่าจะมีกลุ่มมือที่ 3 เข้ามาสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย ไม่เพียงเท่านั้นฝ่ายความมั่นคงซึ่งในที่นี้คงหมายถึงคสช.เป็นแกนหลักนั่นแหละ ยังสั่งการให้มีการตั้งด่านความมั่นคงทั่วประเทศตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ผ่านมาไปจนถึงสิ้นเดือนนี้ อ้างว่าเพื่อตรวจสกัดการขนส่งสิ่งของผิดกฎหมาย

ทั้ง ๆ ที่รู้กันว่า สิ่งที่ยกมาอ้างนั้นเป็นงานปกติที่จะต้องทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เหตุที่ยกระดับเพิ่มความเข้มข้นในช่วงนี้ก็เพื่อจะสกัดไม่ให้กลุ่มที่มีแนวคิดเดียวกับกลุ่มอยากเลือกตั้ง เดินทางมาจากต่างจังหวัดเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อเคลื่อนพลไปทำเนียบฯนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมมีคำถามเรื่องที่บิ๊กตู่ประกาศ 5 สิ่งที่จะต้องปฏิรูปให้สำเร็จภายใน 8 เดือนว่ามันจะเป็นจริงได้อย่างไร

เพราะ 1 ในนั้นคือ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน สิ่งที่ดำเนินการกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้งคงเป็นคำตอบ ส่วนที่ข้ออ้างว่าบ้านเมืองต้องการความสงบเรียบร้อย ก็ถือเป็นวาทกรรมหากินของเผด็จการเท่านั้น คำถามที่ตามมาคือ เมื่อผู้มีอำนาจไม่อยากถูกตบหน้าด้วยการที่มีม็อบไปบุกหน้าทำเนียบฯ ฝ่ายปฏิบัติต้องทำอย่างไร

คู่มือดูแลม็อบ 7 ประการที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สั่งการให้กองทัพบกไปจัดทำมานั้น จะเป็นคำตอบ เพราะมีการวางมาตรการจากเบาไปหาหนัก ซึ่งเมื่อมีการประกาศให้สาธารณชนได้รับรู้และอ้างว่ายึดตามหลักสากล นั่นย่อมเป็นการประกาศความชอบธรรมหากเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นจะต้องใช้กำลังในการสลายการชุมนุม

คำประกาศของผบช.น. ที่ฝากถึงกลุ่มคนอยากเลือกตั้งว่า รัฐบาลทราบความต้องการที่อยากให้มีการจัดการเลือกตั้ง และรัฐบาลมีกำหนดการที่จะจัดการเลือกตั้งในปี 2562 อยู่แล้ว จึงอยากขอความร่วมมือกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ออกมาเคลื่อนไหวหรือสร้างความเดือดร้อนให้บุคคลอื่น ตามมาด้วยศรีวราห์ที่ประกาศกร้าวไม่อนุญาตให้เคลื่อนขบวนโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ย่อมเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างอย่างชัดเจน

ส่วนกลุ่มคนอยากเลือกตั้งนั้น เมื่อมองไปยังเป้าหมายของการยกระดับการชุมนุมแล้ว ย่อมเป็นไปได้ว่าจะกระทำในสิ่งที่สวนทางกับที่ทางเจ้าหน้าที่ประกาศ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับมวลชนที่เข้าร่วมด้วย หากมาน้อยกว่าที่วางเป้าหมายเอาไว้ แผนย่อมเปลี่ยนแปลงไป เพราะถ้าไม่ได้เคลื่อนไปทำเนียบฯก็ต้องหาทางในการประกาศจุดยืนอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อนัดหมายใหม่ พร้อมขีดเส้นตายให้ฝ่ายกุมอำนาจมีคำตอบ

แต่เมื่อมองถึงความเป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีกฎหมายสารพัดอยู่ในมือพร้อมกองกำลังขนาดใหญ่ จึงเชื่อมั่นว่าเอาอยู่ สัญญาณที่ส่งมาก่อนการชุมนุมของกลุ่มอยากเลือกตั้งคือ การดำเนินคดีกับ 8 แกนนำพรรคเพื่อไทยที่ตั้งโต๊ะแถลงข่าว 4 ปีความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาลคสช. ทั้งที่มีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวในลักษณะเช่นนี้มาหลายรอบแล้วแต่กลับไม่พบการดำเนินการใด ๆ

ถือเป็นปกติของรัฐบาลเผด็จการที่กลัวการวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งเป็นพวกที่ไร้ผลงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่ได้ตามที่ประชาชนต้องการ จึงย่อมหวาดกลัวแต่เสียงสะท้อนเหล่านั้น ในทางกลับกันหากมีพรรคการเมืองจัดการแถลงข่าวแบบเดียวกับพรรคเพื่อไทย แต่เปลี่ยนหัวข้อเป็นความสำเร็จในการปฏิบัติงานของรัฐบาลคสช. ถามว่าจะถูกดำเนินคดีเหมือนกันหรือไม่

น่าสนใจคือ ในการที่ 8 แกนนำพรรคเพื่อไทยจะไปรับทราบข้อกล่าวหาที่กองปราบในวันนี้นั้น หากเป็นตามขั้นตอนปกติ เมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาและสอบคำให้การซึ่งทุกคนจะปฏิเสธแล้ว จะอนุญาตให้กลับ เพราะไม่มีเหตุที่จะต้องควบคุมตัว เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นบุคคลสาธารณะ มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและไม่มีเจตนาหลบหนี แต่คดีนี้อาจมีการนำตัวไปฝากขังต่อศาล เหมือนที่ทำกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ถือเป็นบทพิสูจน์อีกประการกับสิ่งที่จะปฏิรูปเรื่องการบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เป็นธรรมกับทุกฝ่ายและไม่สองมาตรฐานจริงหรือไม่

Back to top button