คัดสุดยอด 29 หุ้น SET-mai พลิกมีกำไร Q1 โดดเด่นน่าเก็บ!

คัดสุดยอด 29 หุ้น SET-mai พลิกมีกำไร Q1 โดดเด่นน่าเก็บ! นำโดย KWG,MCS,PSL,EFORL,MDX,CHEWA,GRAND,NWR,CHO,UPOIC,TRITN,DNA,MJD,CGD, AQ,PRINC, BLISS,QCON,TVD, CKP,AJA,TRC,ADB,PHOL,CCP,VPO,UREKA,TVTและ TRT


ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) งวดไตรมาส 1 ปี 2561 มีกำไรสุทธิจำนวน 449 บริษัท คิดเป็น 82.45% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด โดยมีกำไรสุทธิรวม 2.86 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในภาพรวมปรับดีขึ้น โดยในไตรมาสแรกปี 2561 บจ. mai มีกำไรสุทธิ 1.81 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.45%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 69.56% จากไตรมาส 4/2560

อย่างไรก็ตามครั้งก่อน“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”ได้นำเสนอบริษัทจดทะเบียนในตลาด SET และ mai ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเกิน 100%ไปแล้ว สำหรับครั้งนี้จะนำเสนอบริษัทที่พลิกมีกำไรในไตรมาส 1/61 กันบ้างโดยหุ้นที่พลิกมีกำไรในงวดดังกล่าวมีทั้งหมด 29 ตัวคือ KWG,MCS,PSL,EFORL,MDX,CHEWA,GRAND,NWR,CHO,UPOIC,TRITN,DNA,MJD,CGD, AQ,PRINC, BLISS,QCON,TVD, CKP,AJA,TRC,ADB,PHOL,CCP,VPO,UREKA,TVTและ TRT

ทั้งนี้หากสังเกตหุ้นดังกล่าวจะเห็นว่าผลกำไรฟื้นตัวกลับมาอย่างโดดเด่น ขณะเดียวกันยังมีแผนงานออกมาให้นักลงทุนติดตามอย่างน่าสนใจ ซึ่งในครั้งนี้อาจนำเสนอข้อมูลประกอบแต่ละตัวได้ไม่ครบทุกตัว ดังนั้นจะเลือกขอนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนเป็นรายตัวที่มีแผนงานโดดเด่นดังนี้

บริษัทไทรทัน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TRITN แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 มีกำไรสุทธิ 27.88 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.00347 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 24.73 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.00308 บาท

ผลประกอบการไตรมาส 1/61 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 940.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 888.60 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็น 1,724.25%  โดยธุรกิจก่อสร้างมีรายได้ 890.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 860.71 ล้านบาท หรือ 2,922.18% จากปีก่อนหน้า และเมื่อคำนวณหักต้นทุนแล้ว ธุรกิจก่อสร้างมีกำไรขั้นต้น 41.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.02 ล้านบาท

ด้านรายได้จากธุรกิจสื่ออยู่ที่ 20.98 ล้านบาท คิดเป็นกำไรขึ้นต้น 11.30 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 19.95% นอกจากนี้ บริษัทรับรู้รายได้อื่นๆ อีกจำนวน 28.99 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทได้ดำเนินการตามมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปี 2560 ที่อนุมัติให้โอนส่วนเกินมูลค่าหุ้น จำนวนไม่เกิน 548,392,949 บาท นำไปชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัท จำนวน 311,538,119 บาท ทำให้บริษัทสามารถล้างขาดทุนสะสมได้ทั้งหมด

ปัจจุบันบริษัทมีรายได้หลักมาจากการดำเนินการของ บมจ.สเตรกา (STREGA) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TRITN ถือหุ้นอยู่ 84.21%  โดย STREGA ประกอบธุรกิจก่อสร้างที่มีความเชี่ยวชาญด้านการให้บริการทางวิศวกรรมและบริหารจัดการโครงการก่อสร้าง (Engineering, Procurement and Construction Management หรือ EPCM)

นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ที่เติบโตขึ้นจากธุรกิจสื่อที่บริหารจัดการผ่าน บริษัท สแพลช มีเดีย จำกัด (SPLASH)  ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TRITN อีกแห่งหนึ่ง โดยรายได้จากสื่อช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตขึ้นที่ค่อนข้างมั่นคงเป็นแหล่งรายได้สำคัญอีกทางหนึ่ง

นายพิพัฒน์ สุวรรณะชฎ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STREGA กล่าวว่า ช่วงปีที่ผ่านมา STREGA ได้มีโอกาสเข้าไปดูแลงานให้โครงการทั้งขนาดเล็ก,กลาง,ใหญ่หลายโครงการ ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาส 1/61 รับรู้รายได้ตามคาด และจะต่อเนื่องไปอีกในไตรมาสต่อๆไป

นอกจากนี้ TRITN สามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมด ซึ่งเป็นผลดีต่อการดำเนินธุรกิจ รายได้จากการดำเนินงานต่างๆที่จะมีเข้ามาต่อจากนี้จะถูกนำไปบันทึกเป็นกำไร สร้างความเติบโตให้บริษัทและมีผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อกลุ่มผู้ลงทุนในอนาคต

 

ด้านบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ รายงานงบการเงินประจำไตรมาส 1/61 บริษัทมีกำไรสุทธิ 22.548 ล้านบาท พลิกจากงวดเดียวกันของปี 60 ที่มีผลขาดทุนสุทธิเบ็ดเสร็จรวม 61.960 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากการขายและบริการของบริษัทและบริษัทย่อย 169.399 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88.375 ล้านบาท หรือคิดเป็น 109.073% ซึ่งเป็นผลจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ คิดเป็น 80.306% ของรายได้จากการขายและบริการ ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 42.466 ล้านบาท มาอยู่ที่ 42.515 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยที่ 35.35%

อีกทั้งบริษัทได้รับดอกเบี้ยจากเงินเพิ่มทุนคงเหลือที่ได้นำไปลงทุนในตั๋วแลกเงิน (B/E) ซึ่งได้รับผลตอบแทน 25.050 ล้านบาท และมีรายได้อื่นจำนวนรวม 48.012 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.882 ล้านบาท หรือคิดเป็น 295.812% รวมถึงบริษัทมีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ทำให้รายจ่ายลดลงถึง 12.237 ล้านบาท คิดเป็น 15.398%

ในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดเฟสใหม่ 3 โครงการบนทำเลศักยภาพตอบรับความต้องการของผู้บริโภค โดยชูจุดขาย Blue Printing Your Future บ้านที่เพิ่มมูลค่าได้ในอนาคต โดยเน้นบ้านที่ให้ Function ที่มากกว่า พร้อม spec premium ตอบโจทย์ลูกค้าที่เลือกบ้านที่คุ้มค่า คุ้มราคา ซึ่งโครงการดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีการเติบโตที่สูงขึ้น

ด้านความคืบหน้าในการขายที่ดินจำนวน 4,300 ไร่ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่ธนาคารกรุงไทย (KTB) ล่าสุดกรมบังคับคดีจะจัดให้มีการประมูลขายที่ดิน ณ สำนักงานบังคับคดี จังหวัดสมุทรปราการ ครั้งแรกวันที่ 6 มิ.ย.61 นัดที่ 2 วันที่ 27 มิ.ย.61 นัดที่ 3 วันที่ 18 ก.ค.61 และนัดที่ 4 วันที่ 8 ส.ค.61 โดยในการขายทอดตลาดครั้งแรกราคาเริ่มต้นเท่ากับราคาที่คณะกรรมการกรมบังคับคดีเคยประเมินไว้คือ 9,000 ล้านบาท

 

ส่วนบริษัทชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2561 ของบริษัทและบริษัทย่อยว่า มีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 32 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้ 571 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 428% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จำนวน 108 ล้านบาท  โดยมีปัจจัยหลักมาจากการรับรู้รายได้จาก 3 โครงการ คือชีวารมย์ รังสิต-ดอนเมือง, ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ อโศก และชีวาทัย เรสซิเดนซ์ บางโพ ซึ่งรับรู้รายได้ไป 465 ล้านบาท

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงต่อไปของปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ตามแผนจำนวน  5 โครงการใหม่ และอีก 2 โครงการร่วมทุน คิดเป็นมูลค่ารวม 5,915 ล้านบาท พร้อมกับตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะปรับสัดส่วนรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมเป็น 55% เพิ่มโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม ประมาณ 40% และรายได้จากโรงงานอุตสาหกรรมให้เช่าอีก 5%

จากแผนพัฒนาโครงการต่างๆ  รวมถึงการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการที่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้ในปีนี้  ทำให้มั่นใจว่า ผลการดำเนินงานปีนี้จะเติบโตตามเป้าไม่ต่ำกว่า 2,400 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 20% จากปี 60 โดยมียอดขายรอโอนอยู่ในมือสำหรับโครงการที่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้ในปี 61  (Backlog) ประมาณ 1,400 ล้านบาท โดยโครงการหลักจะเป็นชีวาทัย เพชรเกษม 27 ที่พร้อมโอนภายในช่วงไตรมาส 2/61

 

ด้าน บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/61 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. มีกำไร 61 107.67 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 59.29 ล้านบาท โดยไตรมาส 1/61 บริษัทพลิกมีกำไร เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการเดินเรือสุทธิเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากค่าระวางเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองที่ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายในการเดือนเรือลดลง โดยสาเหตุหลักเนื่องมาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้ในการแปลงค่าเงินจากสกุลเหรียญสหรัฐอเมริกาเป็นสกุลบาทนั้นได้ลดลง

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส  PSL รายงานกำไรสุทธิ 108 ล้านบาทใน ไตรมาส 1/61 จากขาดทุนสุทธิ 59 ล้านบาทใน 1Q60 ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้เป็นผลจากรายได้เฉลี่ย/วัน/ลำเรืองวด ไตรมาส 1/61 เพิ่มขึ้น 28%YoY เป็น 10,965 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนค่าใช้จ่ายต่อ/วัน/ลำเรืออยู่ที่ 4,482 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7%YoY  ซึ่งการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มากกว่าต้นทุนทำให้อัตรากำไรขั้นต้นและ EBITDA  เพิ่มขึ้น โดย EBITDA บวก 49%YoY เป็น 16.79 ดอลลาร์

มีสัญญาเช่าเรือช่วงปี 61-65 แล้ว 17% – ปัจจุบันบริษัทได้ทำสัญญาให้เช่าเรือในช่วงปี 61-65 ไปแล้ว 16.6% คิดเป็นรายได้ 150.4 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4.7 พันล้านบาท หรือราว 948 ล้านบาท/ปี

จากข้อมูลของ Clarksons ระบุว่าในปี 60 อัตราการเพิ่มขึ้นอุปสงค์ในแง่ตัน-ไมล์อยู่ที่ 5.1% ขณะที่การขยายตัวของกองเรือสุทธิเท่ากับ 2.93% ยังผลให้ผลต่างระหว่างอุปสงค์และอุปทานเท่ากับ 2.17% ซึ่งไม่สูงและบริษัทเห็นว่าเพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจมีกำไรได้ สำหรับปีนี้คาดว่าอุปสงค์จะเพิ่ม 3.8% ส่วนการขยายตัวของกองทุนเรือสุทธิไม่น่าจะเกิน 2% ในความเห็นของ PSL ทำให้ส่วนต่างระหว่างอุปสงค์และอุปทานจะแคบลงเหลือ 2.00% ส่งผลให้ปีนี้มีโอกาสสูงที่จะทำกำไรจากการดำเนินงานได้

ดัชนี Baltic Dry Index ปรับขึ้นมาระดับ 1200-1400 จุดได้ในกลางเดือนพ.ค.61 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1000 จุดในช่วงกลางเดือนเม.ย.เพราะประเด็นสงครามการค้าสหรัฐและจีนผ่อนคลายลง (หลังหันมาเจรจากัน) การค้าโลกก็ยังเติบโตดีตามเศรษฐกิจ และปัจจัยหนุนเรื่องฤดูกาล

แนะนำซื้อเก็งกำไร – คาดว่าปี 61 ธุรกิจจะฟื้นเป็นมีกำไรสุทธิได้ จากขาดทุนสุทธิ 129 ล้านบาทในปี 60 ณ สิ้น ไตรมาส1/61 บริษัทมี BVS เท่ากับ 7.63 บาท/หุ้น ณ ราคาปัจจุบัน 12.60 บาท ซื้อขายที่ P/BV 1.65 เท่า ยังต่ำกว่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 1.8-2.0 เท่า ในการวิเคราะห์เทคนิค แนะนำ Follow Buy ค่าบวก โดยมีแนวต้านระยะสั้น 13-13.5, 14 บาท และ Stop loss ถ้าหลุด 12.3 บาท

 

บริษัท แอ็พพลาย ดีบี จำกัด (มหาชน) หรือ ADB  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 (ม.ค.- มี.ค.61) บริษัทมีกำไรสุทธิ 8.56 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 0.29 ล้านบาท และมีรายได้รวม 349.95 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 361.39 ล้านบาท

ปัจจัยมาจากภาพรวมความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ในประเทศที่ขยายตัวได้ดีและการปรับราคาสินค้าเพื่อชดเชยราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขให้บริษัทฯ สามารถพิจารณาปรับขึ้นราคาสินค้าให้สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบที่แท้จริง เพื่อลดความเสี่ยงจากราคาวัตถุดิบที่อาจผันผวน

ส่วนการดำเนินงานไตรมาส 2/61 บริษัทประเมินว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการเริ่มส่งมอบสินค้าใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกพีวีซีเพื่ออุตสาหกรรมการแพทย์ ที่รับจ้างผลิต (OEM) ให้แก่ลูกค้าของกลุ่มโชวะซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์จากประเทศญี่ปุ่น โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี  นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของกลุ่มผลิตภัณฑ์กาวและผลิตภัณฑ์อะคริลิกยาแนวในเดือนเมษายนที่ผ่านมาอีกด้วย

สำหรับแผนดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะเร่งดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกพีวีซีเพื่ออุตสาหกรรมการแพทย์ เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไป โดยคาดว่าจะพร้อมผลิตและจำหน่ายได้ประมาณไตรมาส 3/61 ซึ่งจะส่งผลดีต่อการผลักดันเป้าหมายยอดขายทั้งปี 61 ที่ตั้งเป้าเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1,400-1,500 ล้านบาท หรือเติบโต 5-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน

พร้อมพยายามปรับสัดส่วนยอดขายของเม็ดพลาสติก PVC และกาว ในสิ้นปีนี้ให้อยู่ที่ 50:50 จากปัจจุบันสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 60:40 เนื่องจากกาวให้มาร์จิ้นที่ 20% สูงกว่าเม็ดพลาสติก PVC ที่มีมาร์จิ้น 14-15%

ด้านการลงทุนบริษัทอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์อะคริลิกยาแนวและกาวแทนตะปู โดยคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในไตรมาส 4/61 และเริ่มจำหน่ายสินค้าเชิงพาณิชย์ในช่วงต้นปี 62 และในช่วงไตรมาส 3/61 เตรียมลงทุนซื้อเครื่องจักรผลิตเม็ดพลาสติก Soft PVC ใหม่กำลังการผลิต 150-200 ตัน/เดือน โดยใช้เงินลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเข้ามาเสริมกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PVC เดิมที่ 1,800 ตัน/เดือน ที่ใช้กำลังการผลิตเต็ม 100% ทำให้บริษัทจะมีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกเพิ่มเป็น 2,000 ตัน/เดือน

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนในการผลิตสินค้าใหม่เข้ามา เพื่อความหลากหลายของสินค้า และเสริมการเติบโตให้กับบริษัท ซึ่งการลงทุนใหม่ๆในอนาคตมองว่าจะเป็นการร่วมทุนเป็นหลัก เนื่องจากได้พันธมิตรที่เกี่ยวข้องเข้ามาเสริมศักยภาพการทำงาน และสามารถเริ่มการดำเนินงานได้ทันที

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button