ดักเก็บ BCPG ก่อนแขวน XD ปันผล 0.16 บ. ยีลด์สูง 3% ลุ้นผลงาน Q2 โตแจ่ม

ดักเก็บ BCPG ก่อนแขวน XD วันที่ 5 มิ.ย.61 ปันผล 0.16 บ. ยีลด์สูง 3% ผู้บริการแย้มผลงาน Q2/61 โตกว่า Q1/61 พร้อมตั้งเป้ารายได้-กำไรปีนี้เพิ่มขึ้น 10% หลังรับรู้รายได้จ่ายไฟพุ่ง


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์หุ้น บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG หลังผู้บริหารคาดว่าผลประกอบไตรมาส 2/61 จะออกมาดีกว่าไตรมาส 2/61หลังเชื่อว่าปัจจัยสภาพอากาศจะดีกว่าที่ผ่านมา ประกอบกับจะมีโรงไฟฟ้าที่เริ่มทยอยจ่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในปีนี้ราว 100-200MW พร้อมตั้งเป้ารายได้และกำไรปีนี้โต 10% จากการรับรู้ในโครงการโรงไฟฟ้า

ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างเตรียมการจำหน่ายสินทรัพย์ประเภทโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 โครงการ ขนาดกำลังผลิตรวม 27.6MW ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น มูลค่าการจำหน่ายหลังหักค่าใช้จ่ายในการนำเข้ากองทุนประมาณ 3,185 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จในมิ.ย.61 โดยจะรับรู้เป็นกำไรได้ทันที เพื่อนำกระแสเงินสดมารองรับการลงทุนโครงการใหม่ๆ ในอนาคต

รวมทั้งมีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 5 มิ.ย.2561 โดยปันผลจากกำไรสุทธิงวดการดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2561 – 31 มี.ค. 2561 เป็นเงินสด 0.16 บาทต่อหุ้น และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 มิ.ย.2561

ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูลค่าสถิติสำคัญ พบว่า ล่าสุด ณ วันที่ 25 พ.ค.2561 อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) อยู่ที่ 3.13 เท่า

ขณะที่ราคาหุ้นปิดตลาดล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พ.ค.2561 อยู่ที่ 19.40 บาท ลบ 0.10 บาท หรือ 0.51% สูงสุดที่ 19.60 บาท ต่ำสุดที่ 19.40 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 40.73 ล้านบาท ทั้งนี้ยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายที่ 25 บาท อยู่ 29%

ด้าน นักวิเคราะห์ บล.เอเอสแอล ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มโรงไฟฟ้าเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจ แล้วคาดว่า BCPG จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น จึงให้ราคาเป้าหมายที่ 25 บาทต่อหุ้น

ส่วน นักวิเคราะห์ บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ถือ” BCPG ให้ราคาเป้าหมาย 21 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทประกาศปันผลระหว่างกาล 0.16 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 5 มิ.ย. 61

พร้อมประกาศว่าขายโครงการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่ญี่ปุ่นให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ Nikaho และ Nagi ขนาดรวม 27.6 MW คาดมีกระแสเงินสดรับ 3,185 ล้านบาทและบันทึกกำไรจากการขายได้ในไตรมาส 2/61

ทั้งนี้คาดบริษัทจะนำกระแสเงินสดที่ได้ไปลงทุนต่อในโครงการที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจกว่า โดยเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซียที่มีข้อได้เปรียบคือสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงทำให้มีศักยภาพในการติดตั้งแบตเตอรี่เก็บไฟฟ้าในช่วง Off Peak ไปขายไฟฟ้าในช่วง Peak ซึ่งมีอัตราค่าไฟฟ้าสูงกว่าในอนาคต

 

Back to top button