CHG ท็อปพิคกลุ่ม! ลุ้นกำไร Q2 โตทะลัก โบรกฯ อัพเป้าใหม่ต้อนรับฤดูฝน 2.70 บ.

CHG ท็อปพิคกลุ่ม! ลุ้นกำไร Q2 โตทะลัก โบรกฯ อัพเป้าใหม่ต้อนรับฤดูฝน 2.70 บ.


ใกล้เข้าสู่ฤดูฝนเต็มที “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการสำรวจหลักทรัพย์ที่คาดจะได้รับอานิสงส์จากฤดูฝน และพบว่า นักวิเคราะห์จากหลากหลายสำนัก เลือกแนะนำเข้าลงทุน ในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งคาดว่าในไตรมาส 2/61 จะมีผู้ป่วยเข้าใช้บริการเพิ่มสูงกว่าไตรมาส 2/60 เนื่องจากในปีนี้ฤดูฝนมาเร็วกว่าปีก่อน

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์เลือกหุ้นบริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG เป็น Top Pick กลุ่ม และได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 61 รวมทั้งราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น สะท้อนกำไรในไตรมาส 1/61 เติบโตมากกว่าคาด รวมทั้งในไตรมาส 2/61 คาดว่ารายได้และกำไรจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่ ราคาหุ้น CHG ปิดตลาดวานนี้ (4 มิ.ย.) อยู่ที่ระดับ 2.32 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 0.87% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 130.73 ล้านบาท ทั้งนี้ยังคงมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายที่ 2.70 บาท อยู่ 16%

โดย บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น CHG พร้อมปรับราคาเป้าหมาย 2.70 บาทต่อหุ้น จากเดิม 2.50 บาทต่อหุ้น โดยมองว่ายังเป็นหนึ่งใน Top Pick ของกลุ่ม จากการเติบโตของกำไรในไตรมาส 2/61 แม้คาดว่าจะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากปัจจัยฤดูกาลเนื่องจากเป็น Low Season แต่จะยังเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบจากปีก่อนจากฝนที่มาเร็วปีนี้ ซึ่งน่าจะช่วยหนุนโมเมนตัมการเติบโตของรายได้ในกลุ่มผู้ป่วยเงินสดให้ยังดีเมื่อเทียบจากปีก่อน

ขณะที่ฝั่งประกันสังคมคาดว่ารายได้จะกลับมาโตเมื่อเทียบจากปีก่อนได้อีกครั้งหลังจากที่เผชิญฐานสูงในช่วงต้นปีก่อนจากการตรวจสุขภาพ ส่วน Margin คาดยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจาก Operating Leverage จากการลงทุนในช่วง 2 ปีที่แล้วที่เริ่มออกดอกออกผล โดยประเมินกำไรปกติไตรมาส 2/61 เบื้องต้นจะอยู่ในช่วง 140-150 ล้านบาท โตราว 20% เทียบจากปีก่อน

นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 61 ขึ้นราว 5% เป็น 679 ล้านบาท เติบโต 20.1% เทียบจากปีก่อน สะท้อนกำไรไตรมาส 1/61 ที่ดีกว่าคาดมาก โดยปรับทั้งการเติบโตของรายได้ขึ้นเป็น 11.5% เทียบจากปีก่อน จากเดิม 9.4% เทียบจากปีก่อน และ EBITDA Margin ขึ้นเป็น 26.2% จากเดิม 25.7%

โดยการลงทุนขยาย Capacity 3 โรงพยาบาลหลัก 40% ในช่วง 2 ปีที่แล้วเริ่มออกดอกออกผลชัดเจนตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ขณะที่การเปิดโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 304 ในกลางปีนี้คาดว่าไม่ถ่วงผลการดำเนินงานอย่างมีนัยยะเพราะเปิดให้บริการเป็นเฟสและมีฐานลูกค้าจากคลินิก OPD ที่ให้บริการอยู่แล้วด้านหน้าในปัจจุบัน รวมถึงกำลังเข้าสู่ช่วง High Season ของอุตสาหกรรม

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น CHG ให้ราคาเป้าหมาย 2.68 บาทต่อหุ้น จากแนวโน้มรายได้ไตรมาส 2/61 ที่เติบโตใกล้เคียงไตรมาส 1/61 จากอานิสงค์บวกอากาศเปลี่ยนและฝนตกเร็ว ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่รายได้ปีนี้จะเติบโตในกรอบบนของเป้าหมายบริษัทที่ 10-15% และดีกว่าที่บล.โนมูระ พัฒนสินคาด (คาดรายได้เติบโต 10%) ทำให้ประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายของ CHG มีโอกาสเกิด Upside

ทั้งนี้ในเบื้องต้นประเมินประมาณการปี 61-62 มี upside ราว 4-5% จากการปรับสมมติฐานรายได้เติบโตต่อปี 15% ในปี 61-62 และมีราคาเป้าหมายเพิ่มราว 4% จากปัจจุบันที่ 2.68 บาท

โดยปีนี้คาดว่าผลการดำเนินงานเติบโตสูงตามรายได้และอัตรากำไรฟื้นตัวจากผลของ Economy of scales สำหรับในระยะยาวคาดว่า CHG มีโอกาสได้ประโยชน์จากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมของจังหวัดภาคตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดเศรษฐกิจ EEC (ชลบุรี, ระยอง, ฉะเชิงเทรา)

ส่วน นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” CHG ให้ราคาเป้าหมาย 2.60 บาทต่อหุ้น โดยมองเห็นสัญญาณเชิงบวกของการลงทุนในการขยายความสามารถในการให้บริการเพื่อรองรับผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญไปเมื่อปี 2558-2559 จากการที่บริษัทเริ่มมีเติบโตของรายได้ผู้ป่วยเงินสดอย่างมีนัยสำคัญกอปรกับการฟื้นตัวของอัตรากำไร

นอกจากนี้ความกังวลของบล.บัวหลวง ลดลงอย่างมากต่อภาระต้นทุนเพิ่มจากการเปิดให้บริการโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ในช่วงครึ่งหลังปี 2561 โดยมองว่ามูลค่าหุ้นระดับนี้ยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก เนื่องจาก CHG ซื้อขายอยู่ในระดับค่า PER ปี 2561 ที่ 39.0 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 40.2 เท่า

ทั้งนี้ CHG พิสูจน์ถึงความสำเร็จในส่วนแบ่งรายได้ผู้ป่วยเงินสดที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาทำสถิติสูงสุดที่ 61% ในไตรมาส 1/61 เป้าหมายระยะยาวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ 70% ปัจจัยเชิงบวกส่งผลต่ออัตรากำไร เนื่องจากผู้ป่วยเงินสดเป็นลูกค้าที่มีอัตรากำไรสูง

ขณะที่บล.บัวหลวงและตลาดยังคงคาดการณ์ในเชิงอนุรักษ์นิยมว่าอัตรากำไรหลักปี 2561 อยู่ที่ 15.4% และ 15.2% ตามลำดับ ทำให้มีโอกาสในการปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากอัตรากำไรสุทธิที่มีแนวโน้มดีกว่าคาด โดยบล.บัวหลวงทำการวิเคราะห์ซึ่งระบุว่าทุกๆ อัตรากำไรหลักที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 50bps จะส่งผลต่อประมาณการกำไรปรับเพิ่มที่ 3% ในปี 2561

ส่วนรายได้สวัสดิการสังคม ได้แก่รายได้จากผู้ป่วยประกันสังคมและกรณีส่งต่อจากโรงพยาบาลรัฐภายใต้โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค มีฐานที่ต่ำในปี 2560 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผลงานในปี 2561

โดยรายได้จากกรณีผู้ป่วยส่งต่อ 30 บาท ปรับตัวลดลงถึง 48% เมื่อเทียบจากปีก่อนในไตรมาส 1/60 และ 49% ในไตรมาส 2/61 มาอยู่ที่ 35% ในไตรมาส 3/60 และ 19% ในไตรมาส 4/60 แต่เริ่มกลับมาเติบโตเมื่อเทียบจากปีก่อนได้ในไตรมาส 1/61 และคาดต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/61

ทั้งนี้รัฐบาลปรับลดการชำระเงินกรณีส่งต่อผู้ป่วยโครงการ 30 บาท ได้แก่ค่าน้ำหนักมาตรฐานสัมพัทธ์กำหนดเงื่อนไขทางการแพทย์ (RW) ของผู้ป่วยกรณีส่งต่ออ้างอิงจากความซับซ้อนที่เกิดขึ้นจากการรักษา จาก 8,000 บาท มาอยู่ที่ใกล้เคียง 6,500 บาท ในไตรมาส 4/60 ดังนั้นนอกจากฐานต่ำแล้วยังมองว่ายังมีโอกาสที่รัฐบาลอาจปรับเพิ่มราคาต่อหน่วยค่าน้ำหนักมาตรฐาน RW ขึ้นจากงบประมาณปีใหม่กลับไปใกล้เคียงกับระดับเดิมที่ลดลงมาได้

Back to top button