สังคมข่าวหุ้น

* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,738.70 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 5.99 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 5.8 หมื่นล้านบาท


นิวส์เวฟ

* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,738.70 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 5.99 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 5.8 หมื่นล้านบาท

* ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานได้กลุ่มหุ้นพลังงานผสานกับหุ้นสื่อสารทั้ง ADVANC-TRUE-DTAC ที่พาเหรดบวกถ้วนหน้าและกลุ่มหุ้นธนาคารที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน มาช่วยผลักดันให้ SET รักษาฐานอยู่ในแดนบวกต่อไปได้ และเท่ากับดัชนีปิดบวกติดต่อกันไปแล้วถึง 3 วันทำการ แต่ก็ขอให้นักลงทุนอย่าชะล่าใจเกินไปและต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะภาพรวมตลาดยังคงมีความเปราะบางต่อปัจจัย (ทั้งบวกหรือลบ) ต่าง ๆ และมีความผันผวนอยู่มากเช่นเดิม

* เริ่มด้วยหุ้นแรกวันนี้ขอเลือกไปที่ PTTGC ก่อนเลย เพราะมีข่าวดีช่วยหนุนหุ้นกรณีงบไตรมาส 2 ซึ่งล่าสุดทางโบรกฯ คาดจะมีโอกาสทำกำไรสุทธิมากถึง 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนที่มีฐานกำไรต่ำเพียง 6.6 พันล้านบาท โดยมาจากแรงหนุนของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์เป็นหลัก (มีสัดส่วนอีบิทด้ามากกว่า 60% ของฐานรวม) เมื่อบวกกับมีลุ้นบุ๊กสต๊อกเกนน้ำมันเข้าเสริมอีก ก็เลยช่วยหนุนให้ฐานกำไรไตรมาส 2 โตโดดเด่นตามที่กล่าวมา ฟากราคาเป้าหมาย โบรกฯ เคาะไว้สูงถึง 120 บาท เทียบกับราคาปิดในกระดานล่าสุด 88.25 บาท เท่ากับมีอัพไซด์หุ้นมากเกือบ 36% เลยทีเดียว จึงขอฝากไว้ให้แฟนหุ้นสายปิโตรเคมีทั้งหลายลองพิจารณากันดู

* หุ้น BEM เมื่อวานปรับตัวลงแรงไม่เบาถึง 2.5% ทำราคาปิดอยู่ในแดนลบ 7.80 บาท เนื่องจากเจอปัจจัยลบกดดัน กรณีทางบริษัทไม่สามารถปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินในช่วงเดือน ก.ค.นี้ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับราคาหุ้นในกระดานวิ่งไปเผชิญแนวต้านสำคัญระดับ 8 บาท ซึ่งเป็นแนวต้านที่แข็งโป๊กเหมือนมีกำแพงเหล็กซ้อนไว้ไม่รู้กี่ชั้น ขบวนรถไฟใต้ดิน BEM จึงขับเคลื่อนไปต่อไม่ไหว และต้องยอมหยุดจอดอยู่ที่สถานีแนวรับ 7.80 บาท อย่างที่เราเห็นนั่นแหละ

* แน่นอนตัวการสำคัญที่ทำให้ราคาไหลลงมา หนีไม่พ้นเรื่องผิดหวังกรณีปรับขึ้นราคาค่าโดยสารที่ต้องเลื่อนออกไป แต่เท่าที่ไปส่องมุมมองของนักวิเคราะห์หลายแห่ง พบว่า หาก BEM ต้องเลื่อนการปรับขึ้นราคาออกไปจากกำหนดเดิม 1-2 เดือน หรือกรณีแย่สุดคือไม่ได้ปรับขึ้นค่าโดยสารกันเลย จะส่งผลกระทบต่อฐานกำไรปี 2561-2562 เพียงแค่ 1-2% ดังนั้น จึงพูดกันได้เต็มปากเลยว่า ปัจจัยนี้แทบไม่กระทบหรือทำให้พื้นฐานของ BEM เปลี่ยนไปจากเดิมทั้งสิ้น รวมถึงราคาหุ้นที่ลดลงมาเมื่อวานก็สะท้อนข่าวลบไปพอควรแล้ว ถ้าหุ้นยังปรับลงต่ออีกก็ถือเป็นโอกาสดีให้เข้าสะสมหุ้น เพื่อรอรับปัจจัยบวกงบไตรมาส 2 ที่มีโอกาสทำกำไรโตทุบสถิติ เพราะได้บันทึกรายการพิเศษขายหุ้นไซยะบุรีเข้ามา

* หุ้น ILINK มีคนหลังไมค์มาถามกันว่า เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ทำไมราคาหุ้นดิ่งรูดติดต่อกันเหลือเกิน สาเหตุหลักเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมา มีลูกหุ้นเพิ่มทุนจำนวนเยอะถึง 181 ล้านหุ้น เข้าเทรดในกระดาน ก็เลยส่งผลกดดันให้ราคาวูบลงตามที่เราได้เห็นนั่นแหละ ขณะที่เชิงพื้นฐานปีนี้ ILINK กลับเข้าสู่ช่วงการเทิร์นอะราวด์อีกครั้ง

* สะท้อนได้จากงบไตรมาสแรกที่กวาดกำไรไปสูงถึง 57 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม “นิวส์เวฟ” เองยังคงชอบบริษัทลูกของ ILINK มากกว่า นั่นคือหุ้น ITEL เพราะมีภาพการเติบโตที่ชัดเจนและโดดเด่นกว่าตัวแม่มาก ประกอบกับธุรกิจในพอร์ตของ ITEL ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นแบบยกแผง

* ปิดท้ายด้วยหุ้น MINT เดินมาจนถึงจุดชัดเจนแล้วว่า ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น NH Hotel Group โดยบริษัทตั้งเป้าครอบครองหุ้นถึง 51-55% ส่งผลให้ต้องใช้เงินทุนมหาศาล 8.5 หมื่นล้านบาท สำหรับราคาหุ้นที่วิ่งบวกแรงเมื่อวาน เพราะภาพรวมตลาดมองว่า MINT อาจไม่ต้องเพิ่มทุน เนื่องจากสามารถใช้วิธีระดมเงินทุนด้วยการออกหุ้นกู้หรือใช้เงินทุนจากสถานบันการเงินมารองรับได้ ยอมรับเลยว่า ดีลนี้คือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของ MINT ที่จะได้คว้าสินทรัพย์ชั้นดีมาครอบครอง พร้อมกับสนับสนุนการเติบโตระยะยาวจากแหล่งทำรายได้-กำไรแห่งใหม่

* แต่ในเชิงราคาหุ้น นิวส์เวฟมองว่า นับต่อจากนี้ไป (ใช้เวลาอีกสักพัก) ตลาดจะเริ่มหวนกลับมาโฟกัสที่ประเด็นจัดทัพหาเงินลงทุนของ MINT เป็นหลัก ว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนหรือไม่ รวมถึงการระดมทุนจากหุ้นกู้หรือการกู้เงินจากสถาบันการเงินต่าง ๆ จะมีผลต่อฐานะการเงินบริษัทมากหรือน้อยเพียงใด จึงขอย้ำว่า ประเด็นนี้ไม่ได้มีเพียงมุมบวกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในเชิงความเสี่ยงแล้วถือว่ามีคู่ขนานไม่เบาเช่นกัน เลยขอให้นักลงทุนนำข้อมูลที่มีทั้งหมดไปลองบวกลบและพิจารณากันดู แล้วจะได้คำตอบออกมาว่า MINT กับพื้นฐาน (หลังซื้อกิจการ) ที่เปลี่ยนไปยังเป็นหุ้นที่เหมาะสมกับเราหรือไม่

Back to top button