IVL  กำไรปี 61 สดใสแข็งแกร่ง-ชู Top Pick กลุ่มปิโตรเคมี แนะซื้อเป้า 71 บ.

IVL  กำไรปี 61 สดใสแข็งแกร่ง-ชู Top Pick กลุ่มปิโตรเคมี แนะซื้อเป้า 71 บ.


บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(11มิ.ย.60) ว่า บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL เป็นหนึ่งในหุ้น Top Pick ในกลุ่มปิโตรเคมี – ปี 61 เป็นปีที่ดีของบริษัท โดยสเปรด PET และ PTA เพิ่มขึ้นและทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากอุปสงค์แข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งมาจากการแบนการใช้พลาสติกรีไซเคิลของจีน ใน 1Q61 บริษัทมี EBITDA/ตันสูงขึ้น (+40%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +26%QoQ) เป็น 140 ดอลลาร์/ตัน นำโดย PET EBITDA/ตันที่เพิ่มเป็น 116 จาก 57 ดอลลาร์/ตัน ทั้งนี้ Asia PET spread เพิ่มขึ้นจาก 114 เป็น 165 ดอลลาร์/ตันใน 1Q61 ขณะที่ West PET spread สูงขึ้นจาก 163 เป็น 243 ดอลลาร์/ตัน และคาดว่า ไตรมาส2/61 จะยังอยู่ในเกณฑ์สูงมากต่อเนื่อง

ไม่ได้รับผลกรทบจาก EU ห้ามใช้พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียว – ทางสหภาพยุโรปจะห้ามใช้พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวและเครื่องมือประมง 10 รายการ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในหมวด PET และ PTA ที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักของ IVL

ลงทุนและเข้าซื้อกิจการต่อเนื่อง – บริษัทได้ซื้อกิจการ 100% ใน M&G Polimeros Brazil S.A Brazil ซึ่งเป็นผู้ผลิต PET รายใหญ่สุดในบราซิล กำลังการผลิต 5.5 แสนตัน/ปี คาดดีลแล้วเสร็จใน ไตรมาส2/61 และเริ่มรับรู้กำไรใน 2H61 เป็นต้นไป ซึ่งอยู่ในประมาณการใหม่ของเราแล้ว, ตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อซื้อโรงงาน PTA-PET ที่กำลังก่อสร้างใน Corpus Christi กำลังการผลิต PTA 1.1 ล้านตัน/ปี และ PET 1.3 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ดีลนี้ปลายปี 62 หรือต้นปี 63 ซึ่งส่วนนี้ยังไม่ได้อยู่ในประมาณการเรา และล่าสุดเข้าซื้อกิจการ 65.72% ในบริษัท AVGOL INDUSTRIES 1953 LTD. ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อิสราเอล โดย Avgol เป็นบริษัทผู้ผลิตเส้นใยสำหรับผ้าอ้อมเด็ก ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยสำหรับผู้หญิงและผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่อันดับ 3 ของโลก มีโรงงานทั้งหมด 6 แห่ง ในประเทศอิสราเอล สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีนและอินเดีย โดยมีกำลังการผลิตรวม 203,000 ตันต่อปี มีพนักงานทั้งสิ้น 900 คนทั่วโลก มีส่วนแบ่งการตลาด 10% คาดดีลจะแล้วเสร็จใน 2H61 ทั้งนี้ขึ้นกับข้อตกลงและการขออนุมัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง

แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น 71 บาท อิงกับ P/E ปีนี้ที่ 17.5 เท่า – ปัจจัยหนุนคือ ความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น และปริมาณขายเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มกำลังการผลิตและการเข้าซื้อกิจการ ความเสี่ยงหลัก คือ 1. ความผันผวนของราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ 2. บริษัทที่ลงทุนให้ผลตอบแทนต่ำหรือช้ากว่าคาด และ 3. การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่อาจกระทบอุปสงค์หรือต้นทุนของบริษัท

Back to top button