เปิด 25 หุ้นเมิน SET ผันผวน-ราคาสุดพีค! โชว์ 5 เดือนฟันรีเทิร์นเกิน20%

เปิด 25 หุ้นเมิน SET ผันผวน-ราคาสุดพีค! โชว์ 5 เดือนฟันรีเทิร์นเกิน20% นำโดย EMC,NPP,KTC,AEONTS และ TRITN,


 “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)กลุ่ม SET ในรอบ 5 เดือน โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-31พ.ค.61 และคัดเลือกราคาหุ้นที่ปรับตัวสวนดัชนีปรับตัวลดลง 1.52% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1,726.97 จุด (31พ.ค.61) ลบไป 26.74 จุด

ทั้งนี้หากสังเกตดัชนี SET ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาจะพบว่าอ่อนตัวลงแรงและต่อเนื่อง โดยเห็นได้ชัดดัชนีอ่อนตัวลงแรงอย่างมากช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.โดยดัชนีอ่อนตัวแรงและหลุดจากระดับ 1800 จุด เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยล่าสุดนับตั้งแต่วันที่ 1ม.ค.-8 มิ.ย.61 นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิรวม 138,251 ล้านบาท ส่งผลให้ Fund Flow ต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง แน่นอนแรงเทขายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นกลุ่ม SET50 และส่งผลให้ราคาหุ้นหลายตัวปรับตัวลงแรงเกินพื้นฐาน

อย่างไรก็ตามประเด็นการเมืองมีความชัดเจนและแผนการจัดการเลือกตั้งต้นปี 62 เป็นไปตามโรดแมพที่วางไว้ ตรงนี้คาดว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดกลับคืนมา และตลาดหุ้นน่าจะกลับมาลงทุนได้ดีตลอดเดือนมิ.ย.61 และหนุนให้ตลาดหุ้นกลับขึ้นไปทดสอบแถว 1,800 จุด ได้อีกครั้ง

สำหรับหุ้นกลุ่ม SET ที่ปรับตัวสวนดัชนีติดลบและปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่นได้คัดเลือกมานำเสนอ 25 ตัว เนื่องจากหุ้นจำนวนดังกล่าวให้ผลตอบแทนมากถึง 20% โดยหุ้นดังกล่าวประกอบด้วย EMC,NPP,KTC,AEONTS,TRITN,LRH,DTC,GOLD,HUMAN,PTTEP,UTP,GLAND,AYUD,SOLAR,VNT,BDMS,SUPER ,SABINA, CWT,AKR, MBK,PTL,PRINC,IMPACTและ WIN

ทั้งนี้หุ้นที่ปรับตัวแรงอันดับต้นๆตารางส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็กและมีแผนงานออกมาน่าสนใจทำให้นักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มหุ้นพื้นฐานที่มีแผนงานโดดเด่นเช่นกัน อีกทั้งนักวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมายสูงทำให้ราคาหุ้นปรัวตัวขึ้นตลอดช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการนำเสนอข้อมูลอาจได้ไม่ครบทั้งหมดดังนั้นจึงขอเลือกนำเสนอข้อมูลประกอบการปรับตัวขึ้นแรงของหุ้นเพียง 5 ตัวแรกของตารางดังนี้

อันดับ 1 บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) หรือ EMC  ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 155.56% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 0.09 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.23 บาท (31พ.ค.61) คาดนักลงทุนเก็งกำไรหุ้นเล็ก อีกทั้งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันนี้ (14 มี.ค.) อนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียนโดยตัดหุ้นที่ยังไม่ได้ออกและเสนอขาย หลังจากนั้นให้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1.52 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ 8.43 พันล้านบาท โดยออกหุ้นใหม่จำนวน 6.75 พันล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นการเพิ่มทุนแบบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวนไม่เกิน 2.53 พันล้านหุ้น ที่จะจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม

ส่วนหุ้นเพิ่มทุนที่เหลือไม่เกิน 4.22 พันล้านหุ้น จะใช้รองรับการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) EMC-W6  ที่บริษัทจะออก EMC-W6 จำนวนไม่เกิน 4.22 พันล้านหน่วย จัดสรรให้ฟรีแก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วย อายุไม่เกิน 5 ปี มีอัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วย ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาหุ้นละ 0.15 บาท

สำหรับวัตถุประสงค์ในการเพิ่มทุนครั้งนี้ จะช่วยทำให้มีสภาพคล่องและมีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น รวมทั้งช่วยให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รองรับการขยายลงทุนในอนาคต ส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคาหุ้นในอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่าเมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา นางสาวชินสิรี ลีนะบรรจง ผู้ถือหุ้นใหญ่เข้ามาเก็บหุ้นเพิ่มยิ่งทำให้นักลงทุนมั่นใจและหนุนให้ราคาหุ้นวิ่งแรงในช่วงดังกล่าว

 

อันดับ 2 บริษัท นิปปอน แพ็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NPP ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 90.41% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 0.73 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1.39 บาท (31พ.ค.61) คาดนักลงทุนเก็งกำไรหุ้นเล็ก และประเด็นเพิ่มทุน PP เสนอขาย Asia Alpha Equity Fund 1 ซึ่งเป็นกองทุนย่อยของ Asia Alpha Equity Master Fund ที่จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ทำให้นักลงทุนมั่นใจและเข้ามาไล่ราคาหุ้นต่อเนื่อง

ล่าสุด นายศุภจักร ไตรรัตโนภาส ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) (NPP) เปิดเผยว่า ขณะนี้กองทุน เอเชีย อัลฟ่า อิควิดตี้ ฟันด์1 (Asia Alpha Equity Fund 1) จากประเทศสิงคโปร์ ได้ชำระเงินค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯที่เสนอขายแบบเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 400 ล้านหุ้น เป็นเงิน 8.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้ามาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลบริษัทฯเตรียมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะการขยายธุรกิจอาหารในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทั้งทางผลการดำเนินงาน และให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มประเทศเอเชีย

ทั้งนี้ การที่บริษัทฯมีกองทุน BIG Name จากต่างชาติเข้ามาถือหุ้น นับเป็นปัจจัยตอกย้ำให้เห็นว่า บริษัทฯมีศักยภาพความน่าเชื่อถือในการดำเนินธุรกิจ จนทำให้กองทุนขนาดใหญ่เข้ามาลงทุน ซึ่งการเข้ามาของกองทุนดังกล่าว จะช่วยเสริมสภาพคล่อง ศักยภาพความแข็งแกร่งในอนาคตได้เพิ่มขึ้น

นายศุภจักร กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ต่อไป  NPP จะเร่งปรับกลยุทธ์ในเชิงรุก ในการเพิ่มโอกาสและช่องทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับนโยบายการขยายตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ  ซึ่งขณะนี้ NPP อยู่ระหว่างการศึกษาแผนขยายตลาดต่างประเทศ อาทิ ประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยจะมีการศึกษา และพัฒนาอาหารไทย เพื่อไปจำหน่ายในกลุ่มประเทศดังกล่าว

ส่วนแผนการขยายร้านอาหาร A&W นั้น บริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ขยายการเปิดสาขาอย่างต่อเนื่องล่าสุด ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับ บริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ จำกัด (บีเอ็มเอ็น) ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิในการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ ภายในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) เพื่อเปิดร้าน A&W ภายในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) จำนวน 4 สถานี  อาทิ สถานีสุขุมวิท , เพรชบุรีตัดใหม่ , พระราม 9  และจัตุจักร

ในเบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ 3 สาขาแรก ตั้งแต่เดือนก.ค.นี้เป็นต้นไป และเตรียมเปิดอีก 1 สาขา ในช่วงปลายปี 61 ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายสาขาเพิ่มทั้งหมดกว่า 30 สาขาในปีนี้ และตั้งเป้าว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ร้านอาหาร A&W จะมีสาขาทั่วประเทศรวมมากกว่า 100 สาขา เพื่อการก้าวสู่การเป็นผู้นำในการขยายตลาดอาหารสู่ตลาดทั่วภูมิภาคเอเชีย

 

อันดับ 3 บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 87.63% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 186.00 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 349.00 บาท (31พ.ค.61) เนื่องจากมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนอย่างต่อเนื่องอาทิ แผนการแตกพาร์จาก 10 บาท เป็น 1 บาท ซึ่งจะรู้ผลในการประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 6 ก.ค.61 และการแผนงานบริษัทที่โดดเด่น บวกกับแนวโน้มผลงานปี 61 สดใส

ขณะที่นักวิเคราะห์ปรับราคาเป้าหมายใหม่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวแรงและทุบสถิตินิวไฮต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมีปัจจัยบวกลุ้นเข้าคำนวณดัชนีSET50 ครึ่งหลังปี61 ยิ่งทำให้ราคาพุ่งขึ้นแรงต่อเนื่อง

 

อันดับ 4 บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 52.66% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 103.50 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 158.00 บาท (31 พ.ค.61) เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจพื้นฐานธุรกิจบวกกับนักวิเคราะห์ปรับราคาเป้าหมายทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคาในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุว่าค่ายบัตรเครดิตอัดแคมเปญบอลโลกหวังชิงยอดรูดบัตร คาดการใช้จ่ายผ่านบัตรช่วงเทศกาลเดือนมิ.ย.-ก.ค. โต 25-30%  “กรุงศรี” ผนึกแบรนด์ดังจัดผ่อนทีวี-เครื่องเสียง 0% นาน 20 เดือน พร้อมรับเครดิตเงินคืน ด้าน “อิออน” จัดลุ้นสิทธิ 191 รางวัล มูลค่าร่วมล้านบาท ขณะ “เคทีซี” เผยยอดใช้จ่ายหมวดกีฬาโตต่อเนื่องทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.-31 ส.ค.นี้

ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBSV : เทศกาลบอลโลก 2018 เป็นบวกกับธุรกิจบัตรเครดิต และอีกหลายกลุ่ม ได้แก่ อาหาร & เครื่องดื่ม รวมถึงสื่อ ซึ่งหุ้นเด่นในกลุ่มดังกล่าว ได้แก่ # กลุ่มไฟแนนซ์ – AEONTS (ราคาพื้นฐาน 208 บาท) # กลุ่มอาหาร & เครื่องดื่ม – BJC (ราคาพื้นฐาน 70 บาท), CENTEL (ราคาพื้นฐาน 57 บาท) , MINT (ราคาพื้นฐาน 50 บาท)

# กลุ่มสื่อ – TKS (Not Rated, ราคาเป้าหมาย Consensus 15 บาท), TRUE (Not Rated, ราคาเป้าหมาย Consensus 7.8 บาท# กลุ่มค้าปลีก – CPALL  (ราคาพื้นฐาน 95 บาท)

 

อันดับ 5 บริษัท ไทรทัน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TRITN ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 50% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 0.20 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.34 บาท (31พ.ค.61) ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรแผนธุรกิจที่โดดเด่น

โดยนางสาวหลุยส์ เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทรทัน โฮลดิ้ง (TRITN) เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 80% หรือประมาณกว่า 1,700 ล้านบาทจากปีก่อนที่ 969.75 ล้านบาท โดยรายได้หลักยังมาจากบมจ.สเตรกาซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่มีงานในมือ (Backlog) กว่า 4,000 ล้านบาท จะสามารถรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในปีนี้กว่า 50% ของรายได้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านอีกราว 80-100 ล้านบาทต่อปี ขณะนี้บริษัทมีป้ายโฆษณาเปิดให้บริการแล้ว จำนวน 80 ป้าย โดยตั้งอยู่ในพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งจะรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทก็มีโอกาสที่จะเพิ่มป้ายโฆษณา หากมีพื้นที่ที่เหมาะสม

นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างเข้าประมูลงานใหม่จากในประเทศและต่างประเทศ มูลค่ารวมราว 20,000 ล้านบาท โดยโครงการในประเทศมีทั้งโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐ และโครงการต่าง ๆ ของภาคเอกชนอีก มูลค่ารวมราว 5,000-10,000 ล้านบาท ขณะที่งานในต่างประเทศ แบ่งเป็นงานวางท่อก๊าซธรรมชาติ ที่ประเทศเวียดนาม โดยแนวโน้มอุตสาหกรรมน้ำมัน และก๊าซฯในเวียดนาม มีโอกาสที่จะเติบโตอย่างมาก อีกทั้ง จะเข้าประมูลงานก่อสร้างคลังน้ำมันที่เมียนมา โดยคาดจะทยอยทราบผลการประมูลภายในครึ่งหลังของปีนี้  ถึงช่วงต้นปี 62 โดยคาดหวังจะได้งานราว 5,000-10,000 ล้านบาท

นางสาวหลุยส์ กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ถือหุ้นของบมจ.สเตรกา เพื่อจะขอซื้อหุ้นเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 84% โดยมองว่า บริษัทดังกล่าวมีโอกาสที่จะเติบโตจากการเข้ารับงานประเภทการวางท่อส่งน้ำมันและก๊าซฯ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทไม่มีแผนที่จะนำบมจ.สเตรกา เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากบมจ.สเตรกา ถือเป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัท และในอนาคตมีโอกาสที่จะเติบโตจากการเข้าประมูลงานจากภาครัฐ และงานต่างประเทศอีกมาก

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button