สบช่องซื้อ RS หลังราคารูดหนัก โบรกฯ ย้ำพื้นฐานโตแกร่ง-เข้าคำนวณ SET100

สบช่องซื้อ RS หลังร่วง 5 วันติดราคาร่วงไป 12% ตั้งแต่ต้นปี 61 ราคาปรับตัวลงไปถึง 35% โบรกฯ ย้ำพื้นฐานยังโตแกร่ง เข้าคำนวณดัชนี SET100 ครึ่งหลังปี 61 ด้านผู้บริการเตรียมเพิ่มคอนเทนต์ "ช่อง 8" หวังกวาดโกยเงินค่าโฆษณาอื้อซ่ารับไฮซีซั่น หนุนกำไรปีนี้ทุบสถิติ "ออลไทม์ไฮ"


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์หุ้น บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS หลังราคาหุ้นปรับตัวลงต่อเนื่อง 5 วันติด นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 20.60 บาท เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2561 จนกระทั่งวานนี้ (18 มิ.ย.) ปิดตลาดที่ 18.10 บาท ลบ 1.10 บาท หรือ 5.73% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 135.24 ล้านบาท ปรับตัวลง 2.50 บาท หรือคิดเป็น 12% ดังนั้นจึงยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 35.25 บาท อยู่ 94.75% ขณะเดียวกันหากนับตั้งแต่ต้นปี 2561 ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงถึง 9.65 บาท หรือคิดเป็น 34.77% ที่ระดับราคา 27.75 บาท เมื่อวันที่ 3 ม.ค.2561

โดยพบว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศคัดเลือก RS เข้าคำนวณดัชนี SET100 รอบครึ่งหลังปี 2561 โดยจะเริ่มเผยแพร่ค่าดัชนีพร้อมกัน ก.ค. 2561 นี้เป็นต้นไป

ส่วน นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 35.25 บาทต่อหุ้น โดยราคาหุ้น RS ที่ปรับตัวลงมาแรงไม่ได้หมายถึงสัญญาณเตือนใดๆ แต่กลับเป็นโอกาสในการเข้าสะสม โดยมีเหตุผลสนับสนุน 5 ประการ ดังนี้

โดยประการที่ 1) ภาพกำไรเติบโตแข็งแกร่ง ซึ่งบล.บัวหลวง คาดกำไรหลักไตรมาส 2/61 ที่ 130 ล้านบาท ทะยานขึ้น 228% เทียบจากปีก่อน และ 12% เทียบจากไตรมาสก่อน ขณะที่กำไรมีแนวโน้มเข้ามาอย่างล้นหลามในครึ่งหลังของปี 2561 (จาก 246 ล้านบาทในครึ่งปีแรก เป็น 720 ล้านบาทในครึ่งปีหลัง) โดยรวมประเมินกำไรหลักปี 2561 เติบโต 188% หนุนโดยรายได้ธุรกิจ MPC ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และรายได้ทีวีดิจิทัลสูงขึ้น

ส่วนประการที่ 2) มีอัพไซด์ต่อประมาณการกำไร (มีดาวน์ไซด์จำกัด) ภายใต้กรณีดีที่สุดที่รายได้ธุรกิจ MPC ที่ 3 พันล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิที่ 30% (อ้างอิงจากเป้าหมายของบริษัท) จะมีอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรสุทธิรวมปี 2561 ของบล.บัวหลวง 15% มาอยู่ที่ 1.11 พันล้านบาท (ประเมินรายได้ MPC และอัตรากำไรสุทธิที่ 2.6 พันล้านบาท และ 29% ตามลำดับ) โดยปัจจุบันช่อง 8 มีผู้ชมกว่า 12 ล้านคนต่อวัน แต่มีผู้ชมเพียง 3-4 พันรายต่อวันที่เป็นลูกค้า MPC (คิดเป็น 0.03% ของผู้ชมทั้งหมดต่อวัน) ส่วนธุรกิจสุขภาพและความงามยังเติบโตได้อีกมาก

สำหรับกรณีแย่ที่สุดนั้น ตั้งสมมติฐานธุรกิจทีวีดิจิทัลขาดทุนสุทธิ 200 ล้านบาทเท่ากับปีที่แล้ว (เราคาดกำไรสุทธิ 34 ล้านบาท) ซึ่งจะมีดาวไซด์ต่อคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2561 ของเบล.บัวหลวงเพียง 11% มาอยู่ที่ 850 ล้านบาท

ด้านประการที่ 3) สร้างเสาที่แข็งแกร่งค้ำจุนบ้านทั้งหลังไว้ โดย RS สร้างฐานธุรกิจของตัวเองที่แข็งแกร่ง แม้ในภาวะอุตสาหกรรมทีวีดิจิตอลที่มีทั้งการแข่งขันที่รุนแรง และเม็ดเงินโฆษณาที่ยังไม่ฟืนตัวมากนัก เนื่องจากธุรกิจ MPC มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งมี Synergy ระหว่างธุรกิจเดิม (ทีวีและวิทยุ) กับธุรกิจใหม่(H&B and H&L) RS โฆษณาสินค้าเฮาส์แบรนด์ผ่านช่อง 8 ในช่วงเวลาที่อัตราการซื้อโฆษณาต่ำ ดังนั้นจึงไม่มีต้นทุนค่าเสียโอกาส บริษัทได้รับผลกระทบจากประเด็นอ.ย. จำกัด เนื่องจากบริษัทรับใช้ผู้ผลิตขนาดใหญ่ 3 ราย เบอร์ต้นๆ ของประเทศในการผลิตสินค้า และทุกโรงงานได้ผ่านมาตรฐานอ.ย. อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะสั้น

ขณะที่ประการที่ 4) บล.บัวหลวงประเมิน EPS สำหรับธุรกิจ MPC ของ RS ที่ 0.74 บาทในปี 2561 ดังนั้นราคาหุ้น ณ ปัจจุบันชี้ถึง PER ธุรกิจ MPC ที่ 26.9 เท่า (เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มค้าปลีกที่ 28.6 เท่า และค่าเฉลี่ยของกลุ่มเครื่องสำอางค์ที่ 33 เท่า)

ดังนั้นหากซื้อ RS ตอนนี้ จะได้รับส่วนลดสำหรับธุรกิจ MPC และได้รับธุรกิจสื่อ (คาดจะพลิกเป็นกำไรในปีนี้) และธุรกิจอื่นๆ (มีกำไร) ฟรี อีกทั้ง RS ยังมีภาพการเติบโตดีงามและมูลค่าหุ้นในระดับต่ำ – PEG ปี 2561 อยู่ที่เพียง 0.11 เท่า (เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มสื่อที่ 0.37 เท่า และค่าเฉลี่ยกลุ่มเครื่องสำอางที่ 0.62 เท่า)

ส่วนประการที่ 5) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงนับนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน โดยที่พื้นฐานบริษัทไม่เปลี่ยนแปลง จากสี่เหตุผลที่กล่าวข้างต้น จึงมองว่า RS เป็นหุ้นที่ราคาถูกที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง อีกทั้งแนวโน้มกำไรเติบโตดี ท้ายที่สุดแล้วตลาดจะรับรู้มูลค่าที่แท้จริงเอง

พร้อมด้วย นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท นีลเส็น (ประเทศไทย) รายงานภาพรวมเม็ดเงินโฆษณาเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาว่า อุตสาหกรรมโฆษณาของไทยขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 เดือนอยู่ที่ 2.73% เทียบจากปีก่อน และ 3.3% เทียบจากเดือนก่อน โดยมีเม็ดเงินรวมประมาณ 8,992ล้านบาท ว่าเม็ดเงินโฆษณาที่ฟื้นตัวจะอยู่ในกลุ่มกลุ่มทีวีดิจิตอล, โรงหนัง, อินเตอร์เน็ต, วิทยุ และ Out-of-Home หุ้นที่ได้รับประโยชน์ คือ หุ้นในกลุ่มมีเดีย

ทั้งนี้ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองว่าเป็นสัญญาณที่ดี ที่เม็ดเงินโฆษณากลับมาเป็นบวกอีกครั้ง จึงคาดว่าเม็ดเงินโฆษณารวมในช่วงครึ่งหลังปี 61 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าเม็ดเงินโฆษณารวมทั้งปี 61 ขยายตัวที่ 4% เทียบจากปีก่อน

สำหรับ Top pick ของกลุ่มมีเดีย คือ RS โดย แนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมายที่ 35 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้มองว่า RS ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณาในกลุ่มทีวีดิจิทัลและวิทยุ รวมทั้งยังชอบที่ RS ไม่ได้พึ่งพาธุรกิจมีเดียเพียงอย่างเดียวซึ่งปัจจุบันธุรกิจมีเดียมีการแข่งขันรุนแรงมาก แต่ RS ยังคงรุกขยายไปยังธุรกิจ Multi-Platform Commerceที่มีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน RS เทรดที่ PER 25x ซึ่งต่ำกว่า peer กลุ่ม Media และ Commerce

รวมทั้ง นักวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เม็ดเงินโฆษณาเดือน พ.ค.61 ฟื้นตัวขึ้น 3% เป็นครั้งแรกในปี 2561 จากฐานต่ำในปีก่อน โดยสื่อที่มีการเติบโตเมื่อเทียบจากปีก่อนยังคงเป็นกลุ่มเดิมๆ ประกอบด้วย ทีวีดิจิทัล โต 25% เทียบจากปีก่อน, โรงภาพยนตร์ โต 26% เทียบจากปีก่อนและสื่อเคลื่อนที่ โต 24% เทียบจากปีก่อน

ขณะที่ราคาหุ้น RS ปรับตัวลง สะท้อนปัจจัยเสี่ยง Downside risk แล้ว เป็นโอกาสทยอยสะสม โดยเชื่อว่า RS จะมี Stock สินค้ากลุ่ม Home and Lifestyle รองรับยอดขายได้ดีขึ้นในครึ่งหลังปี 61 ทั้งนี้ บล.โนมูระ พัฒนสิน ให้ราคาเป้าหมาย RS ที่ 26.10 บาทต่อหุ้

นอกจากนี้ นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RS ได้เปิดเผยว่า ภาพรวมการแข่งขันทีวีดิจิตอลในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 จะรุนแรงกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องด้วยเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมโฆษณาทำให้ผู้ประกอบการดิจิตอลทีวีช่วงชิงเม็ดเงินที่กำลัง

ดังนั้น จึงเปิดเกมรุกทุ่มคอนเทนต์ต่อเนื่องตลอดช่วงครึ่งปีหลังตรงกับจังหวะช่วงเม็ดเงินโฆษณากลับมาพอดี โดยได้เพิ่มคอนเทนต์จัดผังใหม่ยกทัพอภิมหาคอนเทนต์บันเทิงครบทุกมิติทุกช่วงเวลา เริ่มวันที่ 1 กรกฏาคม 2561 เป็นต้นไป

ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำคอนเซ็ปต์ “เข้มทุกเรื่องราว สุดทุกอารมณ์” เอาใจแฟนช่อง 8 ดูเต็มอิ่มจุใจคุ้มค่าที่เปิดทีวีแช่ไว้ทั้งวันไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอน มั่นใจผังใหม่โดนใจผู้ชมทั้งประเทศ หนุนกำไรทั้งกลุ่มทำนิวไฮสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ปัจจุบันอัตราค่าโฆษณาเฉลี่ยทั้งช่องอยู่ที่นาทีละ 95,000 บาท ซึ่งเป็นการปรับขึ้นมาจากปี 2560 เฉลี่ยนาทีละ 60,000 กว่าบาท

Back to top button