SET ท้ายตลาดฯดิ่งหนักกว่า44จุด หลัง”ดาวน์ฟิวเจอส์”รูด390จุด วิตกสงครามการค้าส่อเค้ารุนแรง

SET ท้ายตลาดฯดิ่งหนักกว่า44จุด หลัง"ดาวน์ฟิวเจอส์"รูด390จุด วิตกสงครามการค้าส่อเค้ารุนแรง โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ เวลา 15.49 น. อยู่ที่ระดับ 1,635.55 จุด ลบ 44.13 จุด หรือ 2.63% มูลค่าการซื้อขาย 6.49 หมื่นล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ เวลา 15.49 น. อยู่ที่ระดับ 1,635.55 จุด ลบ 44.13 จุด หรือ 2.63% มูลค่าการซื้อขาย 6.49 หมื่นล้านบาท โดยตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องกว่า 40 จุด ตามตลาดหุ้นทั่วโลกจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงกดดันตลาดหุ้น ทำให้เกิดแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่

ขณะที่ ณ เวลา 15.53 น. ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้า (Dow Jones Futures) ลบ 390 จุด หรือ 1.56% สู่ระดับ 24,625 จุด ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์นิวยอร์กอยู่ที่ระดับ 24,987.47 จุด ลบ 103.01 จุด หรือ 0.41%

ด้าน บล.เออีซี (AECS) มองตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวนต่อ จากความกังวลต่อปัญหาสงครามการค้าส่อรุนแรงมากขึ้น หลังสหรัฐฯ ประกาศรายชื่อสินค้าจีนที่จะถูกเก็บภาษีนำเข้า เจาะจงกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีและชิ้นส่วนยานยนต์ ให้กรอบดัชนี 1,680-1,690 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ผลการดำเนินงานเด่น ชู BBL, TCAP, CPALL, BJC, ROBINS, AP, SPALI, SC,BDMS, BJC, AOT, BA, JKN, ANAN

โดย AECS เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์นี้ (19-22 มิ.ย.) ให้กรอบดัชนี1,680-1,690 จุด มองตลาดหุ้นไทยช่วงสั้นคาดมีแนวโน้มผันผวนเชิงลบหลังมีหลายปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศที่ต้องติดตาม ซึ่งยังกดดันFund Flow ให้มีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคและทำให้การเก็งกำไรหุ้นทำได้ยาก

ทั้งนี้นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญต่อปัญหาสงครามการค้าที่มีโอกาสรุนแรงขึ้น หลังสหรัฐฯ ประกาศรายชื่อสินค้าจีนที่จะถูกเก็บภาษีนำเข้ากว่า 1,102 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเริ่มจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าล็อตแรก มูลค่า 3.4 หมื่นล้านบาท วันที่ 6 ก.ค.นี้ ซึ่งเน้นไปที่กลุ่มสินค้าเทคโนโลยีและชิ้นส่วนยานยนต์ และสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับการสนับสนุนตามนโยบาย Made in China2025

รวมทั้งเตรียมจำกัดการลงทุนของภาคเอกชนจีนในสหรัฐฯ กดดันให้จีนออกมาประกาศแผนจัดเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าสหรัฐฯ ในมูลค่าที่ใกล้เคียงกันเพี่อเป็นการตอบโต้ต่อมาตรการดังกล่าว และทำให้ความคาดหวังที่จะเดินหน้าเจรจาด้านการค้าต่างๆ เป็นไปได้ยากขึ้น เราจึงคาดตลาดหุ้นต่างประเทศยังมีทิศทางผันผวน และประเมินว่าประเด็นดังกล่าวจะส่งผลต่อ Inflation Expectation ในสหรัฐฯ ให้สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้ US Bond Yield ดีดตัว กดดันตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ ” การอ่อนตัวของราคาเป็นจังหวะเข้าซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยเน้นหุ้น Domestic Play ” ดังนี้ 1. หุ้นกลุ่มธพ. ที่ราคาหุ้นยัง Laggard โดยมี PBV ต่ำ 1 เท่า อาทิเช่น BBL, TCAP , 2. หุ้นค้าปลีกที่คาดได้อานิสงส์จากเทศกาลฟุตบอลโลกเช่น CPALL, BJC, ROBINS, 3. หุ้นกลุ่มอสังหาฯ ที่มีแผนเปิดตัวโครงการจำนวนมากในช่วง 2H61 เลือก AP, SPALI, SC และสุดท้ายหุ้นที่คาดช่วง 2H61กำไรโตดี จากปีก่อน เช่น BDMS, BJC, AOT, BA, JKN, ANAN

ส่วนในทางเทคนิคสำหรับนักเก็งกำไร และนักลงทุนระยะกลาง ถือเงินสด รอเข้าซื้อ เมื่อเกิดสัญญาณยืนยันการยืนแนวรับ ทั้งนี้ กลุ่มที่คาดว่ายังมีโอกาสปรับตัวบวก ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) เช่น KCE, HANA และ กลุ่มพาณิชย์ (COMM) เช่น CPALL , BEAUTY , KAMART

 

10 หุ้นกดดัชนี ณ เวลา 15.50 น.

Back to top button