ของถูกเกลื่อนตลาด

“หุ้นมีขึ้น-มีลง” นี่คือสัจธรรมตลาดหุ้น มองยาว ๆ ใจร่ม ๆ ตลาดหุ้นที่ตกต่ำรูดทะราดวันนี้ สักวันหนึ่ง เมื่อเหตุปัจจัยที่ทำให้หุ้นตกหมดไป และแรงขายก็สะเด็ดน้ำแล้ว หุ้นก็ต้องกลับมาฟื้นตัว


ขี่พายุทะลุฟ้า  : ชาญชัย สงวนวงศ์

หุ้นมีขึ้น-มีลง” นี่คือสัจธรรมตลาดหุ้น มองยาว ๆ ใจร่ม ๆ ตลาดหุ้นที่ตกต่ำรูดทะราดวันนี้ สักวันหนึ่ง เมื่อเหตุปัจจัยที่ทำให้หุ้นตกหมดไป และแรงขายก็สะเด็ดน้ำแล้ว หุ้นก็ต้องกลับมาฟื้นตัว

เหตุปัจจัยหลักที่ทำให้หุ้นตกคราวนี้ เป็นเหตุปัจจัยจากต่างประเทศครับ เนื่องจาก “การเคลื่อนย้ายเงินทุน” หาใช่เป็นเหตุปัจจัยจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจ หรือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแต่อย่างใดไม่

อัตราดอกเบี้ยทางฝั่งอเมริกาสูงขึ้นแล้ว อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯ ก็ปรับตัวสูงขึ้นกว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรไทย ก็ยิ่งเป็นปัจจัยเร่งให้เงินทุนต่างชาติ โบยบินออกไป

นับแต่ต้นปีมา นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิออกมาถึง 1.71 แสนล้านบาทแล้ว ตัวหุ้นต่าง ๆ ทั้งหุ้นคุณภาพและด้อยคุณภาพ ต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า

ส่วนใหญ่จะขาดทุนจาก “ราคาหุ้น” หมดแหละครับ แต่ถ้านักลงทุนถือครอง “หุ้นปันผล” ก็ยังพออุ่นใจได้ ยังขายหุ้นไม่ได้ ก็รับเงินปันผลไปพลาง ๆ ก่อน เมื่อมรสุมร้ายพัดผ่านไปแล้ว ตลาดฟื้นตัว ราคาหุ้นก็จะฟื้นตัวกลับมาได้

ผิดกับ “หุ้นปั่น” และหุ้นที่มีพื้นฐานเปราะบาง ราคาลงมาแล้วก็ลงเลย วันใดตลาดฟื้นแล้ว หุ้นผีเน่า-โลงผุเหล่านี้ก็ไม่ยอมฟื้นคืนชีพกลับมาด้วย

มองกราดดูสินค้าในตลาดหุ้นตอนนี้ ต้องบอกว่ามี “ของดี ราคาถูก” อยู่เยอะพอสมควร เกือบจะ 100 บริษัทแน่ะ นี่ยังไม่นับรวมหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่าง ๆ อีกนะ

เป็นหุ้นคุณภาพคับแก้วที่ถึงพร้อมทั้งพื้นฐาน เงินปันผล และสภาพคล่องสูง ที่เมื่อไหร่ตลาดกลับมา ราคาหุ้นก็พร้อมฟื้นตัวได้เมื่อนั้น

ยกตัวอย่างหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผล ซึ่งก็คือ ราคา หารด้วยเงินปันผลต่อหุ้น คูณด้วย 100 ในระดับ 4% ก็มีเช่น PTT ปันผล 4.19%, SCB ปันผล 4.20%, SCC, RATCH และ IRPC ปันผล 4.63%, 4.64% และ 4.79% ตามลำดับ

หุ้นที่ให้ผลตอบแทนปันผลในระดับ 5% ก็เช่น TISCO, PTTGC และ TTW ปันผล 5.81%, 5.31% และ 5.04% ตามลำดับ

หุ้นที่ให้ผลตอบแทนในระดับ 6% อาทิ QH และ BCP ปันผล 6.49% และ 6.52% ตามลำดับ ขณะที่ LH และ TOP ให้ผลตอบแทนเท่ากันคือ 6.82%

ส่วนที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นไปกว่านั้นอีก ในระดับ 7% เช่น KKP, INTUCH และ ESSO ปันผล 7.55%, 7.76% และ 7.94% ตามลำดับ

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีหุ้นอย่าง BKD, JAS, SPRC, PDI, PSH และ PREB ซึ่งจ่ายปันผลสูงถึง 8.33%, 8.40%, 8.53%, 8.93%, 9.90% และ 16.07% ตามลำดับ อีกด้วย

นี่เป็นการใช้ข้อมูล สิ้นสุด ณ วันที่ 19 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาหนักสุดในรอบนี้

ก็เห็นได้ชัดว่า ยิ่งราคามีการปรับตัวลงมากเท่าใด “ดิวิเดนด์ ยีลด์” ก็ยิ่งขยายตัวกว้างขึ้นเท่านั้น และแน่นอนว่าไม่มีใครบอกได้เต็มปากว่า หุ้นแต่ละตัวลงมาสุดแล้วหรือยัง

แต่การดูยีลด์ดังกล่าว คงพอเป็นตัวชี้วัดจุด “บ๊อทท่อม” ของราคาหุ้นได้ในระดับหนึ่ง เพราะคงไม่มีหุ้นตัวใดในโลกจะตะบี้ตะบันลงเอาทุกวัน จนยีลด์ขยายตัวถึงระดับ 20% เป็นแน่

ทีนี้ นอกจากตัวหุ้นก็ยังมีกองทุนรวมอีกหลายกองที่ถือว่ามีสภาพคล่องใช้ได้ จ่ายปันผลงาม และเป็นหลักทรัพย์สำหรับการลงทุนทางเลือกเพื่อกระจายความเสี่ยง

ยกตัวอย่าง DIF, BTSGIF, QHPF, EGATIF และ JASIF ปันผล 4.14%, 6.60%, 7.11%, 7.31% และ 9.19% ตามลำดับ

ซึ่งแน่นอนว่า ราคาหน่วยลงทุนเหล่านี้ก็พลอยได้รับผลกระทบจากความผันผวนในช่วงที่ผ่านมาด้วย…

พร้อมกับพากันปรับตัวลดลง จนยีลด์ขยายตัวกว้างขึ้น อย่างล่อตาล่อใจเลยทีเดียว!

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างของ “หุ้น” หรือ “หน่วยลงทุน” ที่ปัจจัยพื้นฐานถือว่ามีที่มาที่ไป เพราะขณะที่ราคาปรับตัวลดลงอย่างมีนัย แต่ผลประกอบการยังคงแข็งแกร่ง เสมอต้นเสมอปลาย

หุ้นร่วงหนักไม่ใช่ไม่ดีเสมอไป เพราะเมื่อ “มีขึ้น-มีลง” เป็นสัจธรรมของตลาดหุ้น “มีลง-มีขึ้น” ก็ย่อมเป็นสัจธรรมด้วยเช่นเดียวกัน

Back to top button