3 โบรกฯฟันธง! 12 หุ้นน่าเก็บเดือนก.ค.เน้น“บลูชิพ”ปรับฐานแรงงบฯ Q2 แจ่ม-ปันผลหรู

3 โบรกฯฟันธง! 12 หุ้นน่าเก็บเดือนก.ค.เน้น“บลูชิพ”ปรับฐานแรงงบฯ Q2 แจ่ม-ปันผลหรู


เข้าสู่การลงทุนเดือนกรกฏาคม “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุน พร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอโดยอาศัยบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ 3 แห่ง ประกอบด้วย บล.ทรีนีตี้,บล.เคจีไอ และบล.ทิสโก้

โดยทั้ง 3 แห่งประเมินทิศทางตลาดและกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลออกไม่น่ามีอีกมากแล้ว และระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยที่น่าสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน แสดงนัยถึงตลาดหุ้นไทยมี Downside Risk จำกัด ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวดี และโอกาสเกิดการเลือกตั้งในปีหน้าจะช่วยสนับสนุน SET Index มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมาที่บริเวณ 1,650 จุดเป็นอย่างน้อย หรือหากในกรณีดีสุดที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทยอยออกมาดีกว่าตลาดคาด ดัชนีก็มีโอกาสขึ้นไปทดสอบบริเวณ 1,700 จุดได้เช่นกัน

โดยมองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจได้แก่หุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ที่มีการปรับฐานลงมาแรงจนมี Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ และธีมเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 2/2561 และคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในระดับที่เหมาะสม เช่น PTT,SCC,BDMS,BEM,IVL,SEAFCO,ANAN,LH,KCE,INTUCH,KKP,MINT

 

บล.ทรีนีตี้ ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือน ก.ค.ต่อเนื่องถึงเดือนส.ค.61 ว่า สำหรับตลาดหุ้นเดือนก.ค.น่าจะมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง โดยดัชนีมีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,650 จุด เนื่องจากระดับ Forward PE ปัจจุบันอยู่เพียง 13.3 เท่าเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่จูงใจในแง่ของ Valuation แล้ว และหากไล่ดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเดือนก.ค. ก็ไม่น่ามีปัจจัยอะไรที่มีนัยสำคัญมากดดันตลาด นอกเหนือไปจากประเด็นสงครามการค้าที่เป็นปัจจัยรบกวนเชิง Sentiment เท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนส.ค. แนะนำให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะมีปัจจัยลบที่อาจเข้ามากระทบ ได้แก่  แรงขายของนักลงทุนต่างชาติประเภท Passive funds จากการที่  MSCI  เตรียมเพิ่มน้ำหนักหุ้น A-Share ของจีนเข้าสู่การคำนวณดัชนี MSCI EM  (ดัชนี MSCI สำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่) เป็นรอบที่สอง ซึ่งในรอบแรกเมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมาก็ส่งผลกดดันต่อหุ้นไทยไปในระดับหนึ่งแล้ว โดยทางทรีนีตี้ประเมินว่าจะมีการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินออกจากประเทศเกิดใหม่อื่นเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงของประเทศอิตาลี ที่มีการครบกำหนดชำระหนี้ก้อนใหญ่ในเดือนส.ค.นี้  หากในระยะเวลาใกล้ๆ สถานะการคลังของประเทศอิตาลียังไม่ค่อยดี และบริษัทจัดอันดับเครดิตมีการออกมาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ อาจส่งผลให้เกิดบรรยากาศเชิงลบกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้

ดังนั้น สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือนก.ค.นั้น สำหรับผู้ที่ยังถือเงินสดในระดับมากกว่าปกติ ให้เข้าสะสมหุ้นที่ระดับปัจจุบันแถวดัชนี 1,600 จุด และคาดหวังการฟื้นตัวของดัชนีขึ้นมาที่บริเวณ 1,650 จุดเป็นอย่างน้อย หรือหากในกรณีดีสุดที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทยอยออกมาดีกว่าตลาดคาด ดัชนีก็มีโอกาสขึ้นไปทดสอบบริเวณ 1,700 จุดได้เช่นกัน มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจได้แก่หุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ที่มีการปรับฐานลงมาแรงจนมี Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ และคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในระดับที่เหมาะสม เช่น PTT และ SCC เป็นต้น ส่วนในกรณีแย่สุด มอง Downside ของดัชนีที่ระดับ 1,550 จุด ซึ่งคำนวณจากระดับ PE ปัจจุบันที่ 14.1 เท่า

แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในภาพใหญ่สำหรับตลาดหุ้นไตรมาส 3/61 ว่า จะยังคงมีความกังวลในเรื่องสงครามการค้า  ซึ่งจะทำให้บรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบอยู่บ้าง

อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกจากการปรับเพิ่มประมาณการของนักวิเคราะห์ โดยเฉพาะกับกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งสวนทางกับหุ้นขนาดเล็กที่ยังคงเห็นการปรับลดประมาณการอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาที่ตลาดปรับฐานลงอย่างรุนแรง  ก็เป็นการปรับฐานลงของหุ้นขนาดใหญ่เป็นสำคัญ ทำให้ Valuation ล่าสุดของหุ้นกลุ่มนี้มีระดับที่น่าสนใจพอสมควร

 

บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SET น่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในเดือนก.ค.นี้ ภาพรวมดัชนีฯมองเป็น sideways เนื่องจากน่าจะผ่านช่วงที่กระแสเงินทุนไหลออกหนักสุดไปแล้ว โดยในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยออกมาสุทธิกว่า 1 แสนล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติลดลงเหลือไม่ถึง 30%

นอกจากนี้ยังพบว่าการ de-rate PER หุ้นเกิดขึ้นค่อนข้างแรงและน่าจะสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ย, ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้น และภาวะสภาพคล่องในตลาดโลกตึงตัวในปีหน้าไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ยังคงมองว่าความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะยังคงกดดันตลาดต่อไปจนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องของขนาดของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ดังนั้น  จึงคาดว่าค่าเงิน และสินทรัพย์เสี่ยงของตลาดเกิดใหม่ (emerging markets)จะยังคงผันผวนอยู่ต่อไปในระยะสั้นๆ นี้

ด้วยมุมมองที่ว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้า และผลที่จะเกิดกับภาวะเศรษฐกิจโลก ยังส่งผลลบต่อหุ้นเชื่อมโยงปัจจัยภายนอก  จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นบิ๊กแคปโดยทั่วๆ ไป ซึ่งอาจจะถูกกระทบจากฟันด์โฟลว์ที่ยังประเมินได้ลำบาก และแนะนำให้เน้นไปที่หุ้นที่มีธีมน่าสนใจเช่นหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2561 แข็งแกร่ง หุ้นที่เน้นธุรกิจภายในประเทศและมีค่า PER ไม่สูงและหุ้นที่จะได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้นๆ นี้ โดยหุ้นแนะนำของ ในเดือน ก.ค. ได้แก่ BDMS,BEM,IVL,SEAFCO,ANAN,LH และ KCE

 

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SET Index ที่ไหลลงในเดือนที่แล้ว ทำให้ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยมีความน่าสนใจขึ้น โดยคิดเป็น Forward PER ปี 19F ที่ 13.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปีย้อนหลังที่อยู่ที่ 15.2 เท่าแล้ว  ประเมิน Downside Risk ของ SET Index รอบนี้ไม่น่าต่ำกว่า -0.5SD มากนัก (เท่ากับ Forward PER ที่ 13.3 เท่า) หรือคิดเป็น SET Index ที่ระดับ 1570-80 จุด

ในแง่ของการประเมินมูลค่าด้วยวิธี PBV ขณะนี้ SET Index หล่นมาซื้อขายที่ PBV ต่ำกว่า 1.9 เท่า  มอง PBV ที่ระดับ 1.7 เท่า +/- เป็นระดับที่มีนัยสำคัญเพราะเป็นค่าเฉลี่ยระยะยาว หากไม่ได้อยู่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ  เชื่อว่าระดับดังกล่าวมีความน่าสนใจต่อการลงทุนระยะยาว อิงจาก PBV ที่ระดับ 1.7 เท่า และการประเมินมูลค่าทางบัญชีของบริษัทจดทะเบียนที่จะเพิ่มขึ้นภายหลังจากที่มีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ช่วงเดือน ก.ค. – ส.ค.นี้ หักด้วยเงินปันผลระหว่างกาลที่คาดว่าจะจ่ายสำหรับงวด 1H18F จะคิดเป็น SET Index ที่ระดับ 1530-40 จุด

นอกจากนี้ในแง่ของอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยขณะนี้กลับมาอยู่สูงกว่าระดับ 3% และสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) เป็นครั้งแรกในรอบปีนี้ ซึ่งเป็นอีกมุมหนึ่งที่ช่วยยืนยันว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มมีความน่าสนใจและน่าจะช่วยรองรับความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทยได้ โดยเฉพาะในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จะเข้าสู่ช่วงฤดูกาลทยอยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวดครึ่งปีแรก

จากการประเมินกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลออกที่ไม่น่ามีอีกมากแล้ว และระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยที่น่าสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน แสดงนัยถึงตลาดหุ้นไทยมี Downside Risk จำกัด ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวดี และโอกาสเกิดการเลือกตั้งในปีหน้า (ซึ่งคาดว่าจะกำหนดวันเลือกตั้งได้ในเดือน ก.ย. นี้) จะช่วยสนับสนุน SET Index ในระยะถัดไป ยังคงมุมมองการอ่อนตัวของตลาดหุ้นไทยจากปัจจัยเสี่ยงภายนอกในช่วง 1-2 เดือนนี้เป็นจังหวะทยอยสะสม

โดยชอบหุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก โดยจะเน้นหุ้นที่คาดว่าจะประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ดี และมีปันผลจ่ายระหว่างกาลดี หุ้นเด่นที่ แนะนำในเดือน ก.ค. คือ ANAN, INTUCH, IVL, KKP, MINT, SCC

นอกจากนี้ ยังคัดเลือกหุ้นเด่นในแต่ละอุตสาหกรรมที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาวในการทยอยสะสมรอบนี้ด้วย ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1560-80, 1520-30 และ 1640-50 จุด ตามลำดับ

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button