IRPC วิ่งฉิวกว่า 4% ลุ้นกำไร Q2 โตทะลัก 200% ฟากโบรกฯประสานเสียงแนะ “ซื้อ” เป้าสูง 9.60บ.

IRPC วิ่งฉิวกว่า 4% ลุ้นกำไร Q2 โตทะลัก 200% ฟากโบรกฯประสานเสียงแนะ "ซื้อ" เป้าสูง 9.60บ. โดยปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ระดับ 6 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 4.35% สูงสุดที่ระดับ 6 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.09 พันล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ระดับ 6 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 4.35% สูงสุดที่ระดับ 6 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.09 พันล้านบาท

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในวันนี้ เป็นผลมาจากการคาดการณ์ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 ของ IRPC ว่าจะเติบโตถึง 200% อยู่ที่ระดับ 3.9 พันล้านบาท

นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC เปิดเผยในช่วงที่ผ่านมาว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/61 จะมีโอกาสเติบโตจากงวดไตรมาส 1/61 ถึงแม้กำไรขั้นต้นจากการผลิตรวมของกลุ่ม (GIM) ที่ไม่รวมผลของสต๊อกน้ำมันจะใกล้เคียงระดับ 14 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ทางบริษัทจะได้มีกำไรสต๊อกน้ำมันเข้ามาช่วยหนุน

โดยในช่วงไตรมาส 2/61 ทางบริษัทคาดว่าจะมีโอกาสบันทึกกำไรสต๊อกน้ำมัน หลังจากราคาน้ำมันดิบปิดช่วงสิ้นไตรมาส 2/2561 ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยของเดือน มิ.ย.61 ได้ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 74 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงกว่างวดไตรมาส 1/61 ที่ราคาปิดเฉลี่ย 62 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ขณะที่ แนวโน้มงบปี 2561 คาดว่ากำไรจะมีโอกาสเติบโตจากงวดปี 2560 และมีโอกาสทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะในงวดปี 2561 ไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานเหมือนปี 2560 ส่งผลให้ทางบริษัทสามารถเดินเครื่องกลั่นน้ำมันได้เกิน 2.1 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมถึงกำลังการผลิตของบริษัทเต็มที่ยังปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.3 แสนบาร์เรลต่อวัน สูงกว่าเดิมที่อยู่ที่ระดับ 2.15 แสนบาร์เรลต่อวัน หลังจากได้ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในช่วงปิดซ่อมบำรุงใหญ่

ด้าน บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุว่า ปัจจุบันกำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น IRPC ให้ราคาเป้าหมาย 9.60 บาท โดยคาดกำไรสุทธิของ IRPC จะฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 1/2561 หลังจากมาร์จิ้นที่ดีขึ้นและปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ PPC และ UHV

ทั้งนี้ จากการสำรวจความเคลื่อนไหวราคาหุ้น IRPC เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2561 ได้ทำราคาต่ำสุดของวันที่ 6.25 บาท ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 7 เดือน และทำราคาปิดตลาดที่ 6.35 บาท ปรับลดลง 0.15 บาท หรือคิดเป็นลดลง 2.31% เมื่อเทียบราคาปิดก่อนหน้า โดยมีปัจจัยกดดันมาจากกรณีค่าการกลั่นสิงคโปร์ล่าสุดได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 6.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในภาวะผันผวน เนื่องจากภาพรวมตลาดอยู่ในระหว่างการจับตารอผลประชุมของกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกในช่วงวันที่ 22 มิ.ย.นี้ โดยจะมีมาตรการปรับเพิ่มกำลังการผลิตหรือไม่ จึงกลายเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวลดลง ซึ่งราคาน้ำมันเวสต์เท็กซัสล่าสุดปรับตัวลงมาอยู่ที่ 64 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเบรนต์อยู่ในระดับ 75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับ 74 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ขณะที่ บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” IRPC ราคาเป้าหมาย 7.90 บาท/หุ้น โดย IRPC ซื้อขายที่ส่วนลด 14% เทียบกับคู่แข่งโดยมี PER ที่ 10.4 เท่าเทียบกับคู่แข่งที่ 12.1 เท่า ในขณะที่มี EPS โต 13 – 14% ในปี 2561-2562 ตามลำดับ ในระยะสั้นมองว่าราคาหุ้นรับรู้ผลของราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว และมองว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จาก PPE/PPC และกำไรจากสต็อกในช่วงไตรมาส 2/61 ซึ่งมองว่าตลาดยังไม่รับรู้ปัจจัยนี้ และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง

ส่วนในระยะยาวแล้วมองว่า PP จะยังแข็งแกร่ง (43% ของ IRPC) จากอุปทานที่จำกัดและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ด้าน HDPE คาดจะมีอุปสงค์เพิ่มขึ้นจากจีนจากการพัฒนาระบบประปาในต่างจังหวัด และโครงการ Cooler น่าจะเริ่มดำเนินงานในต้นปีหน้า และจะช่วยเพิ่มการดำเนินงานของ RDCC ในปี 2562

โดยองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) จะเป็นอัพไซด์ต่อ IRPC หลังจากประกาศล่าสุดให้เรือบรรทุกสินค้าใช้น้ำมันที่มีกำมะถันลดลง 85% (ลดลงเป็น 0.5% จากเดิม 3.5%) ซึ่งทางทีมวิจัยของเราเชื่อว่าภาคธุรกิจจะให้ความร่วมมือในการใช้น้ำมัน ULSFO ที่มีกำมะถันต่ำส่งผลดีต่อกลุ่มโรงกลั่น และมีอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ จะทำให้ Premium ของน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น เมื่อรวมกับผลของ RDCC กำลังการผลิต 52% ของ IRPC เป็นผลผลิตขั้นกลาง ในขณะที่ผลิตภัณฑ์แบบหนักคิดเป็นสัดส่วน 10% ของวัตถุดิบและน้ำมันดิบเบา 36% และเรามองว่าผลของเหตุการณ์นี้จะช่วยให้ GIM เพิ่มขึ้นราว 2.7 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 2563

ด้าน บล.เคทีซีมิโก้ แนะนำ “ซื้อ” IRPC ราคาเป้าหมาย 7.80 บาท/หุ้น โดยแม้ประเด็น crude premium ที่ทรงตัวสูง ทำให้ต้องปรับลดประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายลง แต่กำไรของ IRPC ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น หนุนจากแนวโน้มตลาดโพลิโพรพิลีนที่ตึงตัว และส่วนสนับสนุนกำไรที่เพิ่มขึ้นจากโครงการต่างๆ ที่ได้ดำเนินการมา (โครงการ Everest / UHV / PPE&PPC)

ขณะที่โครงการในอนาคต อาทิ Everest Forever (ได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากโครงการ Everest), GALAXY (ศักยภาพในการทำ M&A) และ MARS (การขยายกำลังผลิตของอะโรเมติกส์) คาดจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของกำไรต่อไป

สำหรับ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ (10 ก.ค.) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น IRPC ราคาเป้าหมาย 7.60 บาท/หุ้น โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 เท่ากับ 3,887 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 217% จากปีก่อน และ 41.2% จากไตรมาสก่อน ได้ผลบวกจากการรับรู้กำไรจากสต๊อกและป้องกันความเสี่ยง 3.4 เหรียญต่อบาร์เรล หรือ 2,083 ล้านบาท ส่งผลให้ Accounting GIM เพิ่มเป็น 17.2 เหรียญต่อบาร์เรล (เพิ่มขึ้น 47.6% จากปีก่อน, เพิ่มขึ้น 19.1% จากไตรมาสก่อน การใช้กำลังการผลิตลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 211 KBD (ลดลง 1.1% จากไตรมาสก่อน) คิดเป็น Utilisation rate 97.6%

Back to top button