บลจ.ซีไอเอ็มบีฯ ขายกองใหม่ เน้นลงทุน Property Fund-REITs

บลจ.ซีไอเอ็มบีฯ ขายกองทุน ‘พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม พลัส เฮลท์’ เริ่ม 18-26 ก.ค.นี้ เน้นลงทุน Property Fund-REITs


นายต่อ อินทวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด หรือ บลจ.ไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวกองทุนเปิด ‘ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม พลัส เฮลท์’ หรือ CIMB-Principal Property Income Plus Health Fund (CIMB-PRINCIPAL iPROPPLUS) มีทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท

ทั้งนี้เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุนที่ผู้ลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองด้านประกันชีวิตและสุขภาพ (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) พร้อมๆ กับโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีและต่อเนื่องในระยะยาวจากการลงทุนในกองทุนรวมหน่วยลงทุนอสังหาริมทรัพย์

สำหรับจุดเด่นของกองทุนในส่วนของสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองด้านประกันชีวิตและสุขภาพคือ การคัดเลือกบริษัทประกันชั้นนำ ได้แก่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยผู้ลงทุนสามารถได้รับสิทธินี้เมื่อลงทุนในกองทุนฯ ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป

โดยมีแผนความคุ้มครองทั้งหมด 5 แผนตามมูลค่าเงินลงทุน หากพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างลูกค้าที่ซื้อแผนประกันสุขภาพโดยตนเองค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าพอสมควร และมีการจำกัดอายุผู้ถือกรมธรรม์ที่สูงสุด 65 ปี

ขณะที่สิทธิประโยชน์ฯ ที่ให้กับลูกค้าอายุได้ถึง 75 ปี โดยครอบคลุมทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก (สำหรับแผนที่ 2-5) และการให้การตรวจสุขภาพ Health Check-up สำหรับผู้ลงทุนในแผน 5 เชื่อว่ากองทุน CIMB-PRINCIPAL iPROPPLUS มีนโยบายการลงทุนที่ดีเหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการลงทุนระยะยาวและรับผลตอบแทนจากเงินปันผล ในขณะที่ได้รับเพิ่มเติมในสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองประกันชีวิตและสุขภาพ

ด้าน นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยที่เปิดตัวกองทุนเปิด CIMB-PRINCIPAL iPROPPLUS เนื่องจากมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และ REITs ที่มีความผันผวนค่อนข้างต่ำและให้ผลตอบแทนโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตได้ประมาณ 3.9% นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป

ทั้งนี้ทีมจัดการลงทุนประเมินว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในประเทศไทยยังมีแนวโน้มที่ดี จากความต้องการเช่าพื้นที่และอัตราค่าเช่าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้อีก โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2561 ภาพรวมอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ มีอัตราพื้นที่ว่าง 7.3% ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ส่วนออฟฟิศให้เช่าเกรดเอ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ของกรุงเทพฯ มีค่าเช่าเฉลี่ย 998 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน (ข้อมูลจาก CBRE) และพื้นที่ค้าปลีก (Retail) ในกรุงเทพฯ มีอัตราพื้นที่ว่าง 6.4% จากพื้นที่รวม 7.44 ล้านตารางเมตร (ข้อมูลจาก CBRE)

โดยมีปัจจัยบวกจากดัชนีค้าปลีกและนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เติบโตได้ดี จึงทำให้การลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) และ REITs ในประเทศไทยยังน่าสนใจ เนื่องจากให้ผลตอบแทนโดยรวมที่ดีและมีความผันผวนค่อนข้างต่ำ

ขณะที่การลงทุน REITs ในประเทศสิงคโปร์ แม้ว่าราคาได้ปรับลดลงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่ยังคงสามารถเลือกลงทุนเป็นรายตัวใน REITs ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยภาพรวมออฟฟิศให้เช่าในสิงคโปร์ช่วงไตรมาส 1/2561 มีอัตราพื้นที่ว่างเฉลี่ยเพียง 5.9% ส่วนค่าเช่าพื้นที่ออฟฟิศเกรด A ในย่าน CBD เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกลุ่ม

สำหรับ Co-working space เป็นธุรกิจที่มาแรง เช่นเดียวกับกลุ่ม Business Park ที่มีซัพพลายใหม่ค่อนข้างจำกัด จึงส่งผลดีต่อแนวโน้มการขึ้นค่าเช่าในอนาคต ส่วน REITs ในประเทศญี่ปุ่นยังคงความน่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากจะได้รับปัจจัยบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ การคงมาตรการ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการตั้งเป้าเข้าซื้อ J-REIT ของธนาคารกลางญี่ปุ่น

 “เรามองว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และ REITs ในไทยและต่างประเทศ ยังเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากมีความผันผวนต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น แต่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาวจากเงินปันผล โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่ REITs ยังคงให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ และยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการเช่าพื้นที่และอัตราค่าเช่าที่มีแนวโน้มที่ดีในอนาคตอีกด้วย

โดยกองทุนนี้มีกลยุทธ์การลงทุนที่คล้ายกับ CIMB-PRINCIPAL iPROP เราบริหารมากกว่า 6 ปีทำให้เรามีความเชี่ยวชาญในการลงทุนสินทรัพย์ประเภทนี้ โดยกองทุน CIMB-PRINCIPAL iPROP – R (ชนิดขายคืนอัตโนมัติ) ให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 10.13% สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบอยู่ที่ 4.53%” นายวิน กล่าว

สำหรับกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม พลัส เฮลท์ (CIMB-PRINCIPAL iPROPPLUS) เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 18 – 26 กรกฎาคม 2561 มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง กำหนดวงเงินสั่งซื้อขั้นต่ำครั้งละ 50,000 บาท

Back to top button