สังคมข่าวหุ้น

ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,635.85 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 9.78 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.6 หมื่นล้านบาท


นิวส์เวฟ

ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,635.85 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 9.78 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.6 หมื่นล้านบาท

* ช่วงกลางสัปดาห์ก่อนตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายอยู่ที่ 1,636 จุด และล่าสุดเมื่อวานดัชนีปิดการซื้อขายที่ 1,635 จุด สะท้อนให้เห็นชัดเจนแล้วว่าตอนนี้พี่ SET เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบจำกัดเป็นอย่างมาก และดัชนีแต่ละวันยังออกอาการเหวี่ยงและคาดเดายากแบบสุด ๆ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่แนวรับ-แนวต้านที่เราได้เห็นในแต่ละวัน ไม่หลุดก็ทะลุกันบ่อยครั้ง เพราะแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายก็ไม่สามารถคาดเดาได้ ตลาดหุ้นไทยในตอนนี้จึงเหมือนอยู่ในภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” แน่นอนปัจจัยในประเทศแม้ไม่มีข่าวร้าย แต่ก็ไม่ได้มีข่าวดีชัดเจนจนออกมาเด่นชัดและช่วยค้ำจุนดัชนีให้วิ่งยาวได้ ขณะเดียวกันพี่ SET เองก็ยังคงเดินอยู่ท่ามกลางปัจจัยลบจากต่างประเทศทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งเหนือการควบคุม

* แล้วตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ยังอยู่ในเกมต่อสู้ระหว่างนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติ ไม่ต้องดูไกลอะไรมาก เอาแค่ตั้งแต่รอบวันที่ 1-18 ก.ค.ที่ผ่านมา (เท่ากับ 13 วันทำการที่ตลาดหุ้นเปิดซื้อขาย) ฝั่งสถาบันลุยซื้อสุทธิไปแล้วทั้งสิ้น 2.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ฝั่งต่างชาติยังคงเดินหน้าขายไม่หยุดและสาดสุทธิออกไปแล้วเกือบ 1.8 หมื่นล้านบาท ที่ผ่านมาถึงได้บอกกับนักลงทุนเสมอว่า ถ้าคิดว่ายังไม่มั่นใจในภาวะตลาดหรือยังไม่มีหุ้นที่ดีพอจูงใจให้เราใช้เงินลงทุนเข้าเก็บหุ้น ก็ควรถอยออกไปยืนข้างนอกแล้ว “เก็บเงินสดไว้ในมือ” เพื่อมองดูความเคลื่อนไหวไปก่อนดีกว่า เพราะตอนนี้หุ้นหลายตัวในกระดานกำลังเคลื่อนไหวแบบไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก ยกตัวอย่างง่าย ๆ พี่ใหญ่บ้านเรา PTT เมื่อวานปิดบวกแรงเกือบ 4% และปิดบวกที่ 49.50 บาท ทั้งที่ตลอดทั้งเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาติดแหงกในกรอบ 47-48 บาท แต่อยู่ดี ๆ กลับทะลวงผ่านกำแพงไปได้เฉย

* ถ้าใครบอกว่าเมื่อวานกลุ่มหุ้นพลังงานและ PTT มีข่าวดีใหม่มาช่วยหนุนหุ้นให้วิ่งแรง “ก็คงไม่ใช่แล้วละ” เพราะถ้าตามมาเรื่อย ๆ เราจะรู้กันดีว่างบของ PTT ไตรมาส 2 มีความเสี่ยงไม่เบา เพราะงบบริษัทลูกคนสำคัญอย่าง PTTEP จะชะลอตัวลงไปจากการโดนขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ที่ยังมีแนวโน้มงบ Q2 ดีก็คือหุ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่ได้สต๊อกเกนเข้ามาช่วยหนุนและสุดท้ายก็ต้องไปลุ้นกันดูว่า หักล้างออกมาแล้วจะส่งผลดีหรือลบต่อ PTT มากแค่ไหน

* รวมถึงช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังเพิ่งปรับตัวลงแรงด้วยซ้ำไป ทำให้เหตุผลเดียวที่มีแรงซื้อเข้ามาใน PTT ก็คือการดันดัชนีให้ไปสู่แดนบวก เพราะเมื่อวานแค่ PTT ตัวเดียวส่งผลบวกต่อดัชนีมากเกือบถึงระดับ 5 จุด และฐานราคาหุ้นปัจจุบันแถว 47-48 บาท (ก่อนขึ้นแรงเมื่อวาน) ซึ่งเป็นระดับราคาที่นักลงทุนสถาบันสามารถเข้าเก็บได้สบาย ๆ ไม่ได้แพงเกินไปด้วยซ้ำ (สำหรับกลุ่มสถาบัน) ดังนั้น ความเคลื่อนไหวของหุ้นในกระดานเมื่อวานนี้ จึงเป็นเหมือนสงครามของฝั่งสถาบันและต่างชาติ ที่กำลังชิงไหวพริบแบบชนิดเต็มตัว เพราะถ้า SET ถอยลงหนักจนทำให้ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทย “ไม่อยู่ในจุดจูงใจแล้ว” นั่นแหละคือความเสียหายในเชิงระยะยาว งานนี้คือ เป็นการเดิมพันสูงไม่เบา ส่วนรายย่อยอย่างเราก็ควรติดตามความเคลื่อนไหวให้ดี การจะกล้าเข้าเก็บหุ้นพื้นฐานในช่วงตลาดลดลงถือเป็นโอกาสดี แต่ต้องอยู่ในจังหวะเหมาะสมด้วยเช่นกัน

* หุ้น SPALI วันนี้น่าจับตาไม่เบา และถือเป็นวันวัดใจผู้ถือหุ้นทั้งหลายที่มี SPALI-W4 ในมือ จะเลือกใช้สิทธิแปลงสภาพหรือไม่ โดยตามกำหนดการ ช่วงวันแจ้งความจำนงใช้สิทธิแปลงสภาพอยู่ในวันที่ 12-18 ก.ค. และใช้สิทธิแปลงสภาพภายในวันที่ 19 ก.ค. ซึ่งราคาหุ้นแม่และต้นทุนรวมของลูก (บวกค่าแปลงสภาพ) มีส่วนต่างถูกกว่าหุ้นแม่เฉลี่ยอยู่สัก 40 สตางค์ได้ จึงเข้าใจว่าคนที่จะใช้สิทธิแปลงสภาพน่าจะมีคำตอบในใจแล้วละ

* ก็มาลุ้นกันดูว่า SPALI-W4 ที่เหลือในตลาดตอนนี้มีอยู่ 228 ล้านหน่วย ถ้าใช้สิทธิเต็มจำนวนทางบริษัทจะได้เงินทุนกว่า 900 ล้านบาท เพื่อใช้เอาไปต่อยอดแผนเทนเดอร์หุ้น MK

* ย้ำว่าเงิน 900 ล้านบาทนี้ไม่ใช่น้อยนะ เพราะเท่ากับ 1 ใน 4 จากของมูลค่ารวมเทนเดอร์หุ้น MK ทั้งหมดที่เคาะไว้แถว 4 พันล้านบาท ส่วนเรื่องที่หลายคนเคยกังวลกรณีเทนเดอร์ MK แล้วจะกระทบแผนจ่ายปันผลหรือไม่ ถ้าอิงตามข้อมูลที่ได้เห็นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ สิ้นงวดไตรมาสแรก SPALI เองมีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรสูงถึง 2.6 หมื่นล้านบาท บวกกับงบปี 2561 ที่ยังมีแนวโน้มทำกำไรโตได้ดี จึงยังไม่เห็นเหตุผลที่จะทำให้ SPALI ไม่จ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น จึงขึ้นอยู่กับทางบริษัทแล้วละว่า ผลสุดท้ายจะเลือกตัดสินใจปันผลออกมามากหรือน้อยเพียงใด หลังจากงวดปี 2560 ที่ผ่านมา งดจ่ายปันผลและใช้วิธีออกวอร์แรนต์ให้แทน

Back to top button