เปิดโผหุ้น SET50 ในรอบ 7 เดือนบวกแค่ 19 ตัวแนะสอยของดีราคาถูกเพียบ!

เปิดโผหุ้น SET50 ในรอบ 7 เดือนบวกแค่ 16 ตัว โบรกฯแนะสอยของดีราคาถูกเพียบ!


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่ม SET50 ในรอบ 7 เดือน โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-31 ก.ค.61 โดยทิศทางราคาหุ้นในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมานับว่ามีแรงกดดันหลายด้าน อาทิ ประเด็นกลุ่มธนาคารมีนโยบายยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม

อีกทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ไม่พียงเท่านั้นนักลงทุนต่างชาติยังเทขายอย่างต่อเนื่องยิ่งส่งผลให้ตลาดผันผวนอย่างหนัก โดยเฉพาะในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.2561 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวหลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 1800 จุด และหลุดแนวรับ 1700 จุด และหลุดระดับ 1600 จุด

อย่างไรก็ตามทิศทางตลาดในช่วงเดือนก.ค.61 เริ่มฟื้นตัวอีกครั้งโดยเห็นได้ชัดดัชนีทะยานขึ้นมายืนเหนือระดับ 1700 จุด เนื่องจากตลาดได้รับแรงหนุนของผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ออกมาดีกว่าคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ Outperform ตลาดและผลักดันภาพรวมตลาด

นอกจากนั้น ยังได้แรงหนุนจากการซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันจากการเพิ่มน้ำหนักของ Active fund manager ภายหลังจาก Valuation ของหุ้นไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจและการไหลเข้าของเม็ดเงิน LTF/RMF รวมทั้งการเปิดขายกองทุน Trigger Fund

ดังนั้นภาพรวมดัชนีในช่วง 7 เดือนพบว่าได้ลดช่วงลบลงไปอย่างชัดเจน โดยสังเกตได้จากดัชนี SET ในรอบ 7 เดือนปรับตัวลดลงเพียง 2.96% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1701.79 จุด ( 31ก.ค.61) ลบไป 51.92 จุด และเมื่อย้อนกลับไปในช่วงที่สำรวจดัชนีในรอบ 6 เดือนจะเห็นว่าดัชนีปรับตัวลงถึง 9.02% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1595.58 จุด ( 29 มิ.ย.61) ลบไป 153.13 จุด

แน่นอนแนวโน้มดังกล่าวทำให้เห็นว่าหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ที่ปรับฐานลงแรงและมีราคาถูกเกิพื้นฐานมีเพียบ และน่าจะเป็นโอกาสเข้าลงทุนเนื่องจากมีหุ้นเพียง 19 ตัวเท่านั้นที่ปรับตัวขึ้นได้ในช่วง 7 เดือน  อาทิ KTC,PTTEP,BDMS,TOA,PTT,GLOW,HMPRO, LH,BTS,CPF,IVL,BEM,BANPU,EGCO, ADVANC,MTC,GLOBAL,BBL,TRUE 

ในขณะเดียวกันมีหุ้นที่อ่อนตัวลงมากถึง 31 ตัว และมีหุ้นที่ร่วงหนักเกิน 10% มากถึง 15 ตัว อาทิ CPN,TISCO,BGRIM, MINT, ROBINS, BJC,SPRC,DTAC,TU,TOP,TMB,CENTEL,EA,CBG,BEAUTY ตรงนี้น่าจะเป็นโอกาสเลือกหุ้นเข้าพอร์ต โดยเฉพาะนักลงทุนที่ต้องการเข้าลงทุนใหม่ในเวลานี้จำเป็นที่จะต้องโฟกัสไปยังหุ้นขนาดใหญ่ (SET50)เป็นหลัก

ด้านบล.ทรีนีตี้ ประเมินถึงภาพการลงทุนเดือน ส.ค.61 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) จะเริ่มชะลอการปรับตัวขึ้น โดยมองกรอบแนวต้านแรกไว้ที่ 1,720 จุด และกรอบแนวต้านสำคัญที่ 1,750 จุด ส่วนแนวรับสำคัญที่ 1,650 จุด

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในเดือน ส.ค.นี้ ด้านปัจจัยบวก ได้แก่ ผลประกอบการไตรมาส 2/61 ของกลุ่มธนาคารฯที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จึงทำให้ Sentiment ระยะสั้นของหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวดีขึ้น และยังแนะนำให้ติดตามผลประกอบการของกลุ่มอื่นๆ ที่กำลังจะทยอยออกในช่วงถัดไป คาดว่าจะส่งผลต่อทิศทางของ SET Index ในระยะสั้นด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากกระแส Fund flow หรือเงินทุนไหลเข้าที่เริ่มมีทิศทางดีขึ้น หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติ Long หรือซื้อสุทธิในตลาดล่วงหน้าติดต่อกันถึง 40,000 กว่าสัญญา และเริ่มซื้อสุทธิในตลาดหุ้นให้เห็นบ้างแล้ว

ส่วนปัจจัยลบที่ยังคงต้องติดตาม คือ 1.ประเด็นสงครามการค้าที่ยังคงมีความวุ่นวายต่อเนื่อง คาดว่าจะยังคงเป็นปัจจัยรบกวนบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่อไป 2.การปรับตัวขึ้นของ Bond yield ไทยจนทำระดับสูงสุดใหม่ของปีนี้ ซึ่งหากยังคงปรับขึ้นต่ออีก อาจทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยเริ่มลดลง

3.ความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในยุโรป เนื่องจากอิตาลีจะถึงคิวกำหนดชำระหนี้ก้อนใหญ่ในเดือนนี้ ซึ่งกรณีนี้แนะนำให้จับตาท่าทีของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หากมีการออกมาลดอันดับ Credit rating ของอิตาลีลง มองว่าจะเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดได้ 4.การเพิ่มน้ำหนักหุ้น A-Shares ของจีนในดัชนี MSCI EM ช่วงปลายเดือนนี้อีก 2.5% ของ Market cap ที่อาจทำให้ Passive funds ที่อิงการลงทุนกับดัชนี MSCI EM มีการโยกย้ายเงินออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) อื่น ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือน ส.ค. แนะนำนักลงทุนที่สะสมหุ้นไปตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.ให้ถือหุ้น Let profit run ต่อไปได้ แต่เนื่องด้วย Valuation ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามมาด้วยนั้น ทำให้มองว่าจะต้องกำหนดจุดขายทำกำไรที่ชัดเจน โดยหากดัชนีปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับแนวต้านแรกที่ 1,720 จุด แนะนำให้ขายทำกำไรออกมาส่วนหนึ่งและหากดัชนีปรับตัวขึ้นต่อไปยังบริเวณ 1,750 จุด มองว่าจำเป็นที่จะต้องขายหุ้นออกมาและถือเงินสดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าลงทุนใหม่ในเวลานี้ จำเป็นที่จะต้องโฟกัสไปยังหุ้นขนาดใหญ่ (SET50) ที่ยังปรับตัวขึ้นได้น้อยกว่าตลาดในรอบนี้และเป็นหุ้นที่ยังคงคำแนะนำให้ “ซื้อ”ในเชิงพื้นฐาน (เรียงตามลำดับความ Laggard) ได้แก่ TISCO (ให้ราคาเป้าหมาย102บาท), PTTEP (เป้าหมาย144บาท), TMB (เป้าหมาย2.60บาท), CPALL (เป้าหมาย 101บาท), TOP (เป้าหมาย101บาท), BBL (เป้าหมาย220บาท) และ TU (เป้าหมาย 18 บาท)

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button