“เฮียป.” เปิดใจเคลียร์เหยื่อเงินดิจิทัล 800 ลบ. พร้อมยื่นหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์

“เฮียป.” เปิดใจเคลียร์เหยื่อเงินดิจิทัล 800 ลบ. พร้อมยื่นหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์


สืบเนื่องจากประเด็นข่าว กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) บุกจับกุม นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต ดารานักแสดงหนุ่มในร่วมกับนายปริญญา และนางสาวสุพิชย์ฌา จารวิจิต พี่ชายและพี่สาวข้อหาหลอกนักธุรกิจชาวต่างชาติลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินบิทคอยน์ในประเทศไทยในชื่อ ดราก้อน คอยน์ (Dragon Coin) มูลค่า 5,564.44 เหรียญบิทคอยน์ คิดเป็นเงินสกุลไทย 797.40 ล้านบาท

โดย เรื่องดังกล่าวมีการซัดทอดไปถึงนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เจ้าพ่อตลาดหลักทรัพย์ของเมืองไทย ซึ่งนายประสิทธิ์ได้เดินทางมาขอเข้าพบ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป.เจ้าของสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้น

ล่าสุด แหล่งข่าวในวงการเงินดิจิทัล เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่า ขณะนี้ นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ได้ทำการยื่นเอกสารกับทางเจ้าหน้าที่ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เดินทางมาขอเข้าพบ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป.เจ้าของสำนวนการสอบสวนคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้มีการชี้แจงว่าตนได้มีการพูดคุยกับเจ้าทุกข์มาโดยตลอด ซึ่งเจ้าทุกข์ไม่ได้สงสัยหรือเข้าใจผิดว่าตนมีส่วนรู้เห็นกับคดีดังกล่าวแต่อย่างใด

ขณะที่ แหล่งข่าวรายเดิม ระบุเพิ่มเติมว่า นายประสิทธิ์ เคยเกี่ยวข้องกับการระดมเงินดิจิทัลเพื่อออกเหรียญ Dragon Coin ร่วมกับเจ้าทุกข์และนายปริญญา ตั้งแต่เดือนปี 2560 อย่างไรก็ตาม ในภายหลังนายปริญญา ได้ขัดขวางและกีดกันไม่ให้นายประสิทธิ์ และเจ้าทุกข์เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องการระดมทุน นายประสิทธิ์จึงได้ถอนตัวออกมา ซึ่งทางนายปริญญาสัญญาว่าจะนำเงินที่ได้จากการออกเหรียญดังกล่าวมาชำระคืนให้กับนายประสิทธิ์และเจ้าทุกข์ อย่างไรก็ตาม นายปริญญา ไม่ได้ทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมานายประสิทธิ์ ได้มีการติดต่อ และพูดคุยกับเจ้าทุกข์มาตลอด อีกทั้งล่าสุดได้มีการนำเอกสารไปชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้แจ้งข้อหาใดๆ ต่อนายประสิทธิ์

อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีดังกล่าวในขณะนี้เจ้าหน้าที่เตรียมจะออกหมายจับผู้กระทำผิดในคดีเดียวกันอีก 4 ราย ในจำนวนนี้มีบุคคลที่มีชื่อเสียงในตลาดหลักทรัพย์รวมอยู่ด้วย โดยพบว่ามีการรับโอนเงินจากกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งแม้จะยังไม่เข้าข่ายฟอกเงิน แต่เข้าข่ายฐานร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์

Back to top button