พาราสาวะถีอรชุน

พลิกพลิ้วเป็นนักการเมืองเข้าไปทุกวันสำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะวันแรกที่ยึดอำนาจท่านประกาศเสียงดังฟังชัดทุกอย่างเดินไปตามโรดแม็พ ซึ่งหมายความว่าจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเร็วประมาณต้นปีหน้าอย่างช้าไม่เกินกลางปี แต่พอวันนี้มีข่าวเรื่องต่ออายุ 2 ปี บิ๊กตู่บอกว่าทุกอย่างให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557


พลิกพลิ้วเป็นนักการเมืองเข้าไปทุกวันสำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะวันแรกที่ยึดอำนาจท่านประกาศเสียงดังฟังชัดทุกอย่างเดินไปตามโรดแม็พ ซึ่งหมายความว่าจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเร็วประมาณต้นปีหน้าอย่างช้าไม่เกินกลางปี แต่พอวันนี้มีข่าวเรื่องต่ออายุ 2 ปี บิ๊กตู่บอกว่าทุกอย่างให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557

อ้าว! รัฐธรรมนูญชั่วคราวไม่ได้กำหนดเรื่องอายุการปฏิบัติหน้าที่ของท่านไว้นี่ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ที่กำลังแก้ไขกันอยู่เพื่อที่จะเปิดทางให้มีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ กับข่าวการเพิ่มวาระเรื่องต่ออายุรัฐบาลและคสช.ไปอีก 2 ปีก็เป็นความจริงละสิ ไม่เพียงเท่านั้น ส่วนที่บอกว่าถ้าอยากเลือกตั้งก็ให้ผ่านประชามติ ฟังแล้วมันคุ้นๆ หูยังไงชอบกล

เพียงแต่ว่า เงื่อนไขหนนี้อาจจะแตกต่าง เพราะหากในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว บัญญัติให้ถามประชาชนเรื่องปฏิรูปก่อนเลือกตั้งเข้าไปอีก การที่บอกให้ผ่านประชามติก็เท่ากับเข้าทางตีนของฝ่ายเชลียร์ที่เขี่ยลูกให้บิ๊กตู่และชาวคณะอยู่ต่อทันที ยิ่งล่าสุดเห็นท่วงทำนองของ สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ กับ เสรี สุวรรณภานนท์ แล้วยิ่งเข้าแก๊ป

เพราะหลังจากที่เข้าชี้แจงคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในนามของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง คณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สปช.แล้ว ทั้งคู่ก็จูงมือกันแถลงข่าว อ้างถึงกระบวนการยกร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ กฎหมายอื่นๆ และกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่จะต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 6 เดือนไม่เกิน 1 ปี

พร้อมกับมีการยกมาตรา 39 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาประกบเพื่อยืนยันว่า เงื่อนเวลาดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมาย เรียกได้ว่า เป็นการอ้างเงื่อนไขที่ดูเนียนตากว่าข้อเสนอของ ไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นไหนๆ แน่นอนว่า แนวทางนี้มีความเป็นไปได้ไม่น้อย ที่สำคัญคือไม่ทำให้เกิดความเคลือบแคลงว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ

ขยับใกล้ความจริงเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อ วิษณุ เครืองาม แถลงมติที่ประชุมครม.-คสช.ชงแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว 7 ประเด็น ที่สำคัญคือ ยืดอายุการทำงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญออกไปอีก 30 วัน ส่วนการทำประชามตินอกจากประเด็นเรื่องรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ให้สนช.และสปช.สามารถชงคำถามเพิ่มเติมได้ เป็นไปตามสูตร

ลำพังการขยับขององคาพยพแม่น้ำ 5 สายยังพอเข้าใจได้ว่า นี่เป็นความพยายามที่จะอยู่ต่อในสายธารแห่งอำนาจโดยไม่ต้องบากหน้าไปขอคะแนนเสียงจากประชาชน และถือเป็นกลไกที่สามารถดำเนินการได้ แต่พลันที่ปรากฏภาพของ พุทธะอิสระ หอบดอกไม้ไปให้กำลังใจบิ๊กตู่ถึงทำเนียบฯ พร้อมยื่น 5 หมื่นรายชื่อหนุนการอยู่ต่อ โดยมี หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล มาต้อนรับขับสู้เหมือนเดิม ภาพนี้ต่างหากที่ขัดหูขัดตาคนโดยทั่วไป

จะแอบอ้างสถานะแห่งความเป็นภิกษุห่มผ้าเหลืองหรืออย่างไรก็ตาม แต่บทบาทที่ผ่านมาคือหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง แล้วเช่นนี้ต่อไปบิ๊กตู่จะเที่ยวไปโพนทะนาต่อใครกับใครว่าไม่เลือกข้างได้เต็มปากเต็มคำอย่างไร มิหนำซ้ำ ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นข้อครหา ทุกความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก่อนรัฐประหารคือการสุมหัวรวมตัวกันเพื่อโค่นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย

เว้นเสียแต่ว่า การปล่อยให้คนอีกพวกมายื่นสนับสนุนจะเป็นเป้าหลอกเพื่อเรียกแขกให้คนอีกฝ่ายออกมาคัดค้าน ซึ่งนั่นคงเป็นเรื่องยากเนื่องจากมองกันทะลุปรุโปร่งแล้ว ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมาเคลื่อนไหว ดีไม่ดีบางรายอาจจะถูกตั้งข้อหาเลยเถิดไปถึงขั้นมีผลต่อคดีความที่ตัวเองมีชนักปักหลังอยู่ ดังนั้นเฉยๆ ไว้เป็นดีที่สุด

ประกอบมองกันว่า การพยายามจุดพลุสร้างกระแสแรงทางการเมืองนับตั้งแต่การกระทำต่อ ทักษิณ ชินวัตร จนมาถึงการอยู่ต่อ 2 ปี เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นความไม่เอาไหนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั่นเอง เพราะนาทีนี้ชัดเจนว่า การส่งออกลดลงอย่างมาก ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมตกต่ำสุด การลงทุนจากต่างประเทศหดหาย แถมยังย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น

จึงเป็นที่มาของคำเตือนจาก พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีพลังงานและทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ที่บอกว่า หากทิศทางเป็นอย่างนี้ไปอีกสองปี คงไม่ต้องบอกว่าเศรษฐกิจจะเสียหายยับเยินขนาดไหน ความไม่ชัดเจนเรื่องแนวทางสร้างประชาธิปไตยจะทำให้ความเชื่อมั่นของทั้งในประเทศและต่างประเทศหมดไป และจะทำอย่างไรกับการเจรจาการค้ากับกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปหรืออียูและสหรัฐ ที่ไม่เจรจากับประเทศที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย

แต่ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจคงจะไม่อินังขังขอบต่อเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเชื่อมั่นในกฎหมายพิเศษที่มีอยู่ในมือจะเป็นยาวิเศษที่จัดการทุกแรงกระเพื่อมได้อยู่หมัด ล่าสุด พันเอกวินธัย สุวารี โฆษกคสช.ก็ออกมาประกาศกร้าว จะใช้มาตรการทางกฎหมายจัดการเด็ดขาดกับกลุ่มนักศึกษาที่ต่อต้านรัฐบาลคสช. ดูเหมือนว่าฝ่ายความมั่นคงจะหวั่นไหวกับการเคลื่อนไหวในส่วนนี้ไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนักศึกษาที่เคลื่อนไหวก็ดูท่าจะไม่เกรงกลัวต่อคำขู่ดังว่า เพราะวันวาน 7 นักศึกษากลุ่มดาวดิน จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ปฏิเสธที่จะเข้ารายงานตัวต่อตำรวจตามหมายเรียกจากความผิดที่ไปจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีการรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคามที่ผ่านมา โดยประกาศจะใช้แนวทางอารยะขัดขืน เพราะเชื่อมั่นว่ากลุ่มของตัวเองไม่ได้กระทำผิดกฎหมายใดๆ

เช่นเดียวกันกับ 9 นักศึกษาในกรุงเทพฯ ที่ไปจัดกิจกรรมในวันเดียวกันที่หน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ ซึ่งถูกเรียกให้ไปรายงานตัวที่สน.ปทุมวันก็จะไม่ไปตามนัด โดยมองว่า กฎหมายที่นำมาใช้ไม่เป็นธรรม เป็นเหมือนกฎหมู่มากกว่ากฎหมาย ขัดกับหลักนิติรัฐ นิติธรรม ทั้งๆ ที่การเคลื่อนไหวของนักศึกษาใช้ปัญญาอย่างปัญญาชนในการต่อสู้ ไม่ใช้วาจาที่สร้างความเกลียดชัง นี่แหละคืออาวุธที่ทรงพลังซึ่งผู้กุมอำนาจกลัวมากกว่าการใช้กำลัง

Back to top button