สังคมข่าวหุ้น

* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,698.30 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.67 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.8 หมื่นล้านบาท


นิวส์เวฟ

* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,698.30 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.67 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.8 หมื่นล้านบาท

* ขาเข้าซื้อสุทธิมีเพียงรายเดียว คือ สถาบันเข้าเก็บไป 2,067 ล้านบาท ตามด้วยขาเทขายสุทธิมีทั้งหมด 3 ประสาน เริ่มจากรายย่อยสาดออกเยอะสุด 1,351 ล้านบาท ตามด้วยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 460 ล้านบาท และต่างชาติ 255 ล้านบาท

* ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานแรงซื้อขายเบาบาง เนื่องจากส่วนใหญ่รอดูสถานการณ์เรื่องการเจรจาระหว่างสองขั้วอำนาจใหญ่ในปัจจุบัน คือ จีนและสหรัฐอเมริกา ต้องยอมรับว่าถือเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อทั้งภาวะตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกเป็นอย่างมาก ดังนั้น ประเด็นนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวและต้องติดตามความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง

* ส่วนปัจจัยภายในยังไม่มีอะไรเพิ่มเติมมากมายยกเว้นแต่ประเด็นการเลือกตั้ง ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ในขณะนี้แทบไม่นับเป็นปัจจัยบวกใหม่ (เพราะเลื่อนแล้วเลื่อนอีก) จนหลายคนชักพูดเหมือนกันแล้วว่า ได้ความชัดเจนเมื่อไหร่ค่อยมาให้น้ำหนักก็แล้วกัน

* การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้นิวส์เวฟเห็นแล้วรู้สึกดีไปอย่าง เพราะแรงซื้อหุ้นนั้นได้กระจายออกไปในหลายกลุ่มหุ้น เช่นเมื่อวานในกระดาน “Most Active 20 อันดับแรก” มีทั้งหุ้นอสังหาฯ หุ้นค้าปลีก หุ้นโรงพยาบาล หุ้นสื่อสาร ที่วิ่งบวกมากันพร้อมหน้า ไม่ได้กระจุกตัวเฉพาะแค่กลุ่มแบงก์และพลังงานเป็นหลักเหมือนในอดีต จึงถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะเท่ากับเม็ดเงินลงทุนหุ้นจะได้กระจายตัวออกไปช่วยหนุนราคาทั้งภาพรวมตลาดและช่วยขับเคลื่อนดัชนีให้เดินหน้าต่อไปได้

* ตอนนี้คงไม่มีใครร้อนแรงไปกว่า “กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน” ล่าสุดมีปัจจัยบวกกรณีโรงกลั่นน้ำมันของ Petrobras ในบราซิลซึ่งมีกำลังผลิตสูงถึง 4.15 แสนบาร์เรลต่อวันเกิดเหตุไฟไหม้ และนี่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหุ้นโรงกลั่นบ้านเราเลย เพราะอย่าลืมธุรกิจพลังงานในปัจจุบันเคลื่อนไหวสอดคล้องกันทั่วโลก ส่งผลให้ในช่วงระยะสั้นซัพพลายน้ำมันสำเร็จรูปมีสิทธิตกอยู่ในภาวะตึงตัวและช่วยให้ค่าการกลั่นเพิ่มสูงได้ จนกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาหุ้นโรงกลั่นในตลาดเมื่อวานนี้ทั้ง TOP-IRPC-PTTGC-BCP-SPRC-ESSO วอลุ่มซื้อขายหนาแน่นชนิดยกแผง

*คำถามต่อมาแล้วจะเลือกหุ้นตัวไหนกันดี ?? คำตอบนี้จะขึ้นอยู่กับทางผู้อ่านแหละว่า เป็นนักลงทุนสไตล์ไหนกัน ถ้าเน้นพื้นฐานมีสตอรี่ต่อเนื่อง ราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาไม่ขยับขึ้นมาไกลเกินเอื้อม มีปันผลจ่ายดี และยังสามารถถือต่อได้ระยะยาว IRPC-PTTGC-BCP นับเป็นตัวเลือกที่ดีเลยล่ะ ส่วน TOP พื้นฐานดีไม่แพ้ 3 หุ้นแรกที่ว่ามา แต่ว่าราคาบวกมาแรงกว่าใครเขาแล้ว (ในรอบ 2 สัปดาห์) จึงเหมาะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวมากกว่า สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้และมีวินัยลงทุนที่ดี SPRC-ESSO เป็นตัวเลือกที่น่าสนเหมือนกัน เพราะ 2 หุ้นนี้เวลามีปัจจัยบวกเข้ามามันช่วยหนุนให้หุ้นวิ่งได้ดีสุดในช่วงระยะสั้น เลือกให้เหมาะกับตัวเองแล้วจะไม่ผิดหวังแน่นอน

* หุ้น PTG ตั้งแต่ประกาศงบไตรมาส 2 เป็นต้นมา มีกำไรต่ำกว่าตลาดคาดไว้มากจนกดดันให้ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค. ถึงปัจจุบันลดลงไปแล้วกว่า 20% และล่าสุดยังถอยลงไม่หยุดอีกหลังจากทางบริษัทปรับลดเป้ายอดขายน้ำมันจะโตน้อยกว่าที่เคยคาดไว้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจต่างจังหวัดชะลอตัว จึงส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อลดลงตาม ส่วนในแง่ภาพรวมทั้งปี 2561 บริษัทยังมั่นใจจะทำรายได้สูงทะลุ 1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อน โดยเป็นผลจากยอดขายน้ำมันโดยรวมที่ยังเพิ่มขึ้น (แม้โตน้อยกว่าเป้าเดิม) และธุรกิจนอนออยล์ที่เข้ามาทำกำไร ส่วนแผนขยายสาขาล่าสุดปรับเป็นภายในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,900 แห่ง จากเดิมตั้งเป้า 2,000 แห่ง และปลายปีนี้โครงการปาล์มคอมเพล็กซ์จะเดินเครื่องผลิตได้เต็ม 100% แล้ว

* ถ้าวัดจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผย เท่ากับได้เห็นสาระสำคัญคือ ในปัจจุบันทางบริษัทได้เปลี่ยนวิธีดำเนินธุรกิจเป็นมุ่งเน้นบริหารสินทรัพย์ที่มีในมือให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแทนวิธีเดิมที่เน้นขยายการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตก้าวกระโดด แต่ถึงแม้ในปัจจุบันราคาหุ้นจะลดลงมามากจนถึงจุดน่าเข้าซื้อแล้วก็ตาม แต่อย่าลืม PTG เป็นหนึ่งในหุ้นที่เคยวิ่งได้ดีเพราะมีประเด็นเรื่องกำไรคอยผลักดัน ดังนั้น หากภาพของธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวที่ชัดเจนจริง ๆ โอกาสที่ราคาหุ้นจะวิ่งได้ดีเหมือนอดีตคงเป็นไปได้ยาก แล้วในระยะสั้นงวดไตรมาส 3 ต้องเผชิญทั้งโลว์ซีซั่นธุรกิจหรือปัญหาต้นทุนดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจะแก้อย่างไรเพื่อทำให้อัตรากำไรขั้นต้นกลับมาอยู่ในระดับปกติ งานนี้ จึงถือเป็นโจทย์หินที่กำลังท้าทายความสามารถหุ้น PTG กันแบบสุด ๆ

Back to top button