JKN บวก 2% โบรกฯแนะซื้อ เคาะเป้า 14บ. คาดกำไรโตแกร่ง หลังจับมือ BEC ส่งละครไทยรุกตลาดตปท.

JKN บวก 2% โบรกฯแนะซื้อ เคาะเป้า 14บ. คาดกำไรโตแกร่ง หลังจับมือ BEC ส่งละครไทยรุกตลาดตปท. โดย ณ เวลา 15.00 น. ราคาอยู่ที่ 10.60 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 1.92% สูงสุดที่ 10.70 บาท ต่ำสุดที่ 10.40 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 13.12 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ณ เวลา 15.00 น. อยู่ที่ 10.60 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 1.92% สูงสุดที่ 10.70 บาท ต่ำสุดที่ 10.40 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 13.12 ล้านบาท

ด้าน บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น JKN ราคาเป้าหมาย 14 บาท/หุ้น โดยจุดเด่นของ JKN คือการเป็นเจ้าของ Content ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทำให้เพิ่มอำนาจการต่อรองสำหรับ JKN สมคำกล่าวว่า “Content is King” ซึ่งเป็นคำกล่าวของ Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft กล่าวไว้ในปี 2539 ซึ่งยังเป็นจริงมาตลอดจนทุกวันนี้

ขณะที่มอง  Key Success ที่ทำให้ Content ของ JKN ได้รับความนิยมสูงเกิดจากการที่ JKN สามารถจับกระแสความนิยมในสื่อบันเทิงระดับโลกได้ ส่วนหนึ่งคาดว่าเป็นความสามารถของ CEO คือคุณจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ อีกทั้งทีมงานด้าน Production เช่นการพากย์ เพลงประกอบ มีความเชี่ยวชาญสื่อลิขสิทธิ์บันเทิงต่างประเทศ ตามกระแสความนิยมของผู้บริโภคได้ทัน และมีความสามารถด้านการตลาดสูง

โดยมองว่า JKN อยู่ใน Positioning ที่มีความได้เปรียบในธุรกิจสื่อบันเทิงโทรทัศน์คือเป็นธุรกิจ Content คาดการณ์ กำไรสุทธิของ JKN จะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปี ใน 3 ปีข้างหน้า ประเมินราคาเป้าหมายได้เท่ากับ 14.00 บาทต่อหุ้น ตามค่า PER ในปี 2562 ที่ 25 เท่า จากค่า PEG ที่ 1.0 เท่า จึงแนะนำซื้อ

อนึ่ง JKN เป็นผู้นำด้านการนำเข้าและจำหน่ายลิขสิทธิ์ Content จากต่างประเทศ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงคือ Content ประเภท Asian Fantasy และ Hollywood Hit ซึ่งจัดจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลในประเทศไทย ลูกค้าหลักปัจจุบันคือ BEC (ช่อง 3), RS (ช่อง 8) และ Bright TV

นอกจากนี้ยังมี Potential Clients อีกหลายราย เนื่องจากผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลในปัจจุบันหันมานำ Content ต่างประเทศที่โด่งดังและได้รับความนิยมมาก มาลงในผังรายการช่วงเวลา Prime Time กันมากขึ้น เนื่องจากเมื่อเทียบค่าลิขสิทธิ์ต่อตอนแล้วยังมีต้นทุนที่ต่ำกว่าผลิตรายการละครเองเป็นอย่างมาก ช่วยลดต้นทุนได้ และภาพยนตร์ที่นำมาฉายมีความโด่งดังระดับโลก จึงเป็นที่นิยมอย่างสูง และช่วยเพิ่ม Rating ของสถานีโทรทัศน์ได้ดี

ขณะที่ ปัจจุบัน JKN มีรายได้หลักมาจากลิขสิทธิ์มากถึง 93% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ในขณะที่ส่วนธุรกิจ Asian Fantasy คาดว่ามีสัดส่วนของรายได้สูงราว 60%-70% ของรายได้รวม ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้ชม เห็นได้จาก Rating ของ ภาพยนตร์ซีรีส์อินเดียตั้งแต่ “นาคิน” มาจนถึง “มหากาลี เทวีพิทักษ์โลก” ที่ฉายทางช่อง 3 HD และ “หนุมาน สงครามมหาเทพ” จนถึง “พระพิฆเนศ มหาเทพไอยรา” ที่ฉายทางช่อง 8

นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์นำเข้าอีกหลายเรื่องที่ได้รับความนิยม ซึ่งปัจจุบันตลาดภาพยนตร์และซีรีส์ของอินเดียยังมีต้นทุนที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับซีรีส์ของเกาหลีใต้ จึงเป็นโอกาสที่ดีมากของ JKN ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกความนิยมนี้

อีกทั้ง ปัจจัยบวกที่น่าสนใจที่เพิ่มเติมเข้ามาตั้งแต่กลางปี 2561 เป็นต้นไปคือ ความร่วมมือกับ BEC นำละครไทยที่เคยออกอากาศผ่านช่อง 3HD รวม 70 เรื่อง จำหน่ายในต่างประเทศภายใน 1 ปี ยกเว้นประเทศจีน มาเก๊า ฮ่องกง กัมพูชา เมียนมาร์ และเวียดนาม ซึ่งตั้งเป้าหมายยอดขาย 300 ล้านบาทภายใน 1 ปี (1 มิ.ย. 61-31 พ.ค.62) ซึ่งคาดว่าในปี 2561 นี้จะรับรู้รายได้จากส่วนนี้ได้ราว 180-200 ล้านบาท ส่วนแบ่งรายได้จะเป็นของ BEC และ JKN ในสัดส่วน 70% ต่อ 30% รายได้ส่วนนี้ไม่มีต้นทุน แต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายบริหารการขายบ้าง

โดยการนำศิลปินไปโชว์ตัวในต่างประเทศ ซึ่ง JKN ไม่ต้องจ่ายค่าตัวศิลปิน ทำให้งานส่วนนี้น่าจะมี Net Profit Margin สูง ประเทศที่เป็นตลาดเป้าหมายขณะนี้ คือ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและมาเลเซีย นอกจากนี้ JKN ก็นำ Content ของอินเดีย เกาหลีใต้ และประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยม ไปขายลิขสิทธิ์การขายในประเทศต่าง ๆ ทั่วเอเชีย

ขณะที่ ล่าสุดได้ไปเสนอขายในงานแสดงสินค้าประเภท Content ที่ประเทศเวียดนาม ได้รับความสนใจมากจากลูกค้าในเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย แผนงานในอนาคต JKN เตรียมการรับจ้างผลิตรายการ CNBC Thailand เพื่อฉายทางช่องทีวีดิจิทัล เช่น ช่อง 3, Money Channel, Bright TV ซึ่งคาดว่ารายการดังกล่าวจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้

อย่างไรก็ตาม แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 14.00 บาท โดยคาดว่าบริษัทมีโอกาสเพิ่มอัตราการทำกำไรได้สูงขึ้น และมองว่ากำไรสุทธิของ JKN จะเติบโตในระดับเฉลี่ย 25% ต่อปี ใน 3 ปีข้างหน้า ประเมินราคาเป้าหมายได้เท่ากับ 14.00 บาทต่อหุ้น ตามค่า PER ในปี 2562 ที่ 25 เท่า จากค่า PEG ที่ 1 เท่า จึงแนะนำซื้อ

Back to top button