หุ้นราคาต่ำกว่า 10 บาท กำไรสุดเจ๋ง!

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีนักลงทุนรายย่อยเป็นจำนวนมากที่เฝ้ามองหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท เนื่องด้วยเงินลงทุนมีไม่เยอะ “พอร์ตเล็ก” เพราะหากลงทุนในหุ้นที่มีการซื้อขายในราคาสูง อาจไม่สามารถทำได้คล่องตัวมากนัก แถมยังได้จำนวนหุ้นน้อยอีกด้วย


เส้นทางนักลงทุน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีนักลงทุนรายย่อยเป็นจำนวนมากที่เฝ้ามองหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท เนื่องด้วยเงินลงทุนมีไม่เยอะ “พอร์ตเล็ก” เพราะหากลงทุนในหุ้นที่มีการซื้อขายในราคาสูง อาจไม่สามารถทำได้คล่องตัวมากนัก แถมยังได้จำนวนหุ้นน้อยอีกด้วย

ดังนั้นนักลงทุนพอร์ตเล็กจึงใช้กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำนั่นเอง

ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นราคาต่ำ 10 บาท อาจเป็นตัวเลือกที่ดีและนักลงทุนควรให้ความสำคัญกับความสม่ำเสมอด้านสภาพคล่องในการซื้อขาย เพราะถ้าซื้อไปแล้วอาจจะไม่สามารถออกได้ตามใจปรารถนา และกรณีที่เป็นหุ้นมาร์เก็ตแคปเล็กก็ต้องระมัดระวัง

นอกจากนี้เชื่อว่านักลงทุนจะมองว่าหุ้นราคาต่ำ 10 บาท  เหมาะสำหรับเทรดดิ้ง แต่ไม่ใช่เสมอไปเพราะหุ้นราคาต่ำบางตัวมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งก็สามารถลงทุนระยะยาวเพื่อรอรับเงินปันผลได้เช่นกัน

ทางข่าวหุ้นธุรกิจจึงทำการสำรวจหลักทรัพย์ที่อยู่ในตลาด SET100 มีราคาต่ำกว่า 10 บาท และมีความสามารถทำกำไรสุทธิต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน (มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี Valuation น่าประทับใจ) ซึ่งสามารถลงทุนระยะยาวได้และลงทุนเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นได้อีกด้วย เช่น BEN, IRPC, AP, CHG, ERW, QH, THANI, UV และ WHA เป็นต้น

บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 13 ก.ย. 2561 ปิดอยู่ที่ 8.40 บาท  นับว่ายังเป็นราคาที่เข้าซื้อลงทุนได้เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ที่ให้ไว้ 9 บาท ซึ่งทำให้มี Upside 7.14% ที่สำคัญผลประกอบการก็พบว่า สามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอจากปี 2559-งวดหกเดือนปี 2561 โดยในปี 2559 มีกำไรสุทธิ   2,605.85 ล้านบาท ต่อมาในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 3,123.13 ล้านบาท และในงวด 6 เดือนปี 2561 มีกำไรสุทธิ 1,714.27 ล้านบาท

บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 13 ก.ย. 2561 ปิดอยู่ที่ 6.85 บาท นับว่ายังเป็นราคาที่เข้าซื้อลงทุนได้เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ที่ให้ไว้ 8.70 บาท ซึ่งทำให้มี Upside 27.01% ที่สำคัญหากมาดูผลประกอบการก็พบว่า สามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอจากปี 2558-งวดหกเดือนปี 2561 โดยในปี 2558 มีกำไรสุทธิ 9,401.76 ล้านบาท ต่อมาในปี 2559 มีกำไรสุทธิ 9,720.83 ล้านบาท ส่วนในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 11,354.48 ล้านบาท  และในงวด 6 เดือนปี 2561 มีกำไรสุทธิ 1,714.27 ล้านบาท

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 13 ก.ย. 2561 ปิดอยู่ที่  9.45 บาท นับว่ายังเป็นราคาที่เข้าซื้อลงทุนได้เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ที่ให้ไว้ 10.20 บาท ซึ่งทำให้มี Upside 7.94% ที่สำคัญหากมาดูผลประกอบการก็พบว่าสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอจากปี 2558-งวดหกเดือนปี 2561 โดยในปี 2558 มีกำไรสุทธิ 2,623.38 ล้านบาท ต่อมาในปี 2559 มีกำไรสุทธิ 2,702.56  ล้านบาท ส่วนในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 3,157.10 ล้านบาท  และในงวด 6 เดือนปี 2561 มีกำไรสุทธิ 1,992.07 ล้านบาท

บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ  CHG โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 13 ก.ย. 2561 ปิดอยู่ที่  2.68 บาท นับว่ายังเป็นราคาที่เข้าซื้อลงทุนได้เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ที่ให้ไว้ 2.86 บาท ซึ่งทำให้มี Upside 6.71% ที่สำคัญหากมาดูผลประกอบการก็พบว่าสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอจากปี 2558-งวดหกเดือนปี 2561 โดยในปี 2558 มีกำไรสุทธิ 538.38 ล้านบาท ต่อมาในปี 2559 มีกำไรสุทธิ 564.29 ล้านบาท ส่วนในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 565.44 ล้านบาท  และในงวด 6 เดือนปี 2561 มีกำไรสุทธิ 371.44 ล้านบาท

บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 13 ก.ย. 2561 ปิดอยู่ที่ 7.90 บาท นับว่ายังเป็นราคาที่เข้าซื้อลงทุนได้เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ที่ให้ไว้ 10.50 บาท ซึ่งทำให้มี Upside 32.91% ที่สำคัญหากมาดูผลประกอบการก็พบว่าสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอจากปี 2558-งวดหกเดือนปี 2561 โดยในปี 2558 มีกำไรสุทธิ 197.87 ล้านบาท ต่อมาในปี 2559 มีกำไรสุทธิ 366.89 ล้านบาท ส่วนในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 505.57 ล้านบาท  และในงวด 6 เดือนปี 2561 มีกำไรสุทธิ 315.18 ล้านบาท

บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH  โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 13 ก.ย. 2561 ปิดอยู่ที่  3.50 บาท นับว่ายังเป็นราคาที่เข้าซื้อลงทุนได้เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ที่ให้ไว้ 3.70 บาท ซึ่งทำให้มี Upside 5.71% ที่สำคัญหากมาดูผลประกอบการก็พบว่าสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอจากปี 2558-งวดหกเดือนปี 2561 โดยในปี 2558 มีกำไรสุทธิ 3,106.46 ล้านบาท ต่อมาในปี 2559 มีกำไรสุทธิ 3,084.97 ล้านบาท ส่วนในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 3,462.24 ล้านบาท  และในงวด 6 เดือนปี 2561 มีกำไรสุทธิ 1,693.27 ล้านบาท

บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 13 ก.ย. 2561 ปิดอยู่ที่  7.90 บาท นับว่ายังเป็นราคาที่เข้าซื้อลงทุนได้เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ที่ให้ไว้ 9 บาท ซึ่งทำให้มี Upside 13.92% ที่สำคัญหากมาดูผลประกอบการก็พบว่าสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอจากปี 2558-งวดหกเดือนปี 2561 โดยในปี 2558 มีกำไรสุทธิ 748.66 ล้านบาท ต่อมาในปี 2559 มีกำไรสุทธิ 881.16 ล้านบาท ส่วนในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 1,125.81 ล้านบาท  และในงวด 6 เดือนปี 2561 มีกำไรสุทธิ 755.37 ล้านบาท

บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 13 ก.ย. 2561 ปิดอยู่ที่ 8.20 บาท นับว่ายังเป็นราคาที่เข้าซื้อลงทุนได้เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ที่ให้ไว้ 10.80 บาท ซึ่งทำให้มี Upside 31.70% ที่สำคัญหากมาดูผลประกอบการก็พบว่าสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอจากปี 2558-งวดหกเดือนปี 2561 โดยในปี 2558 มีกำไรสุทธิ 630.94 ล้านบาท ต่อมาในปี 2559 มีกำไรสุทธิ 1,075.69 ล้านบาท ส่วนในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 1,108.83  ล้านบาท และในงวด 6 เดือนปี 2561 มีกำไรสุทธิ 790.76 ล้านบาท

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 13 ก.ย. 2561 ปิดอยู่ที่ 4.06 บาท นับว่ายังเป็นราคาที่เข้าซื้อลงทุนได้เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ที่ให้ไว้ 4.86 บาท ซึ่งทำให้มี Upside 19.70% ที่สำคัญหากมาดูผลประกอบการก็พบว่าสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอจากปี 2558-งวดหกเดือนปี 2561 โดยในปี 2558 มีกำไรสุทธิ 1,953.73  ล้านบาท ต่อมาในปี 2559 มีกำไรสุทธิ 2,898.16  ล้านบาท ส่วนในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 3,266.43 ล้านบาท  และในงวด 6 เดือนปี 2561 มีกำไรสุทธิ 1,082.95 ล้านบาท

ตัวอย่างข้างต้นเป็นองค์ประกอบของการลงทุนสำหรับนักลงทุนชอบเล่นหุ้นราคาต่ำ 10 บาท ที่มีพื้นฐานดีจากผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

Back to top button