พาราสาวะถี

ส่งสัญญาณกันมาหลายระลอก แต่การย้ำหนล่าสุดของ วิษณุ เครืองาม เท่ากับเป็นการยืนยันคำตอบที่ว่ามีบางพรรคการเมืองอันหมายถึง พลังประชารัฐ จะมีรัฐมนตรีในรัฐบาลคสช.ไปนั่งกุมบังเหียนเป็นทั้งหัวหน้าพรรค เลขาธิการ และคงจะมีอีกหลายตำแหน่ง น่าจับตาคือประธานที่ปรึกษาพรรค จะมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบรับคำเชิญร่วมสังฆกรรมเพื่อปูทางสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี สืบทอดอำนาจแบบสวย ๆ หรือไม่


อรชุน

ส่งสัญญาณกันมาหลายระลอก แต่การย้ำหนล่าสุดของ วิษณุ เครืองาม เท่ากับเป็นการยืนยันคำตอบที่ว่ามีบางพรรคการเมืองอันหมายถึง พลังประชารัฐ จะมีรัฐมนตรีในรัฐบาลคสช.ไปนั่งกุมบังเหียนเป็นทั้งหัวหน้าพรรค เลขาธิการ และคงจะมีอีกหลายตำแหน่ง น่าจับตาคือประธานที่ปรึกษาพรรค จะมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบรับคำเชิญร่วมสังฆกรรมเพื่อปูทางสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี สืบทอดอำนาจแบบสวย ๆ หรือไม่

การยกเหตุผลทางกฎหมายสารพัดของเนติบริกรประจำรัฐบาลมายืนยันเรื่องการไม่ต้องลาออกจากตำแหน่งของรัฐมนตรีเพื่อไปรับหน้าที่ในพรรคการเมือง เป็นเครื่องหมายการันตีว่างานนี้คนที่มีชื่อก่อนหน้าจะไปรับตำแหน่งล้านเปอร์เซ็นต์ จริงหรือไม่ใช่หรือเปล่า วันที่ 29 กันยายนนี้ หลังการประชุมพรรคพลังประชารัฐจะได้รู้กัน

ที่แน่ ๆ ล่าสุด ลุงตู่ออกมายอมรับแล้วว่า “สนใจการเมือง” ด้วยข้ออ้างสุดคลาสสิก ผมรักประเทศชาติรักเหมือนกับที่คนไทยทุกคนรัก พร้อม ๆ กับวลีฮิตติดปากของคณะเผด็จการคสช.ตนสนใจในสิ่งที่ได้ทำลงไปว่าไปถึงไหนยังไง และวันข้างหน้าจะได้รับการสานต่อหรือไม่ ตนจะติดตามรับฟังจากบรรดานักการเมือง กลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองต่าง ๆ

ไม่เพียงแค่ท่านผู้นำจะยอมรับเรื่องสนใจการเมืองแต่ยังกั๊กเรื่องการประกาศท่าทีที่ชัดเจน วันเดียวกัน กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็แบไต๋พร้อมรับตำแหน่งโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ด้วยเหตุผลที่น่าจะท่องเป็นแนวทางเดียวกันทั้งหมดของคนในรัฐบาลเผด็จการคือ อยากสานต่องานที่รัฐบาลชุดนี้ทำมา

ก่อนจะขยายความอีกว่ายังมีรัฐมนตรีอีกหลายคนจะเข้าไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ขอให้ไปถามกับรัฐมนตรีรายนั้นเอง นั่นหมายความว่า อุตตม สาวนายน จะก้าวไปนั่งเป็นหัวหน้าพรรค โดยมี สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นั่งเป็นเลขาธิการ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้แน่นอน การออกมาในลักษณะนี้ของกอบศักดิ์จึงเป็นการปูทางเบิกฤกษ์ให้รัฐมนตรีแต่ละคนที่จะเข้าร่วมงานกับพรรคดังว่า เพราะจะมีการประชุมใหญ่ในวันที่ 29 กันยายนนี้แล้ว

ดังนั้น ท่าทีในลักษณะการยืนยันเรื่องหนึ่งเรื่องใดเป็นมั่นเหมาะและหนักแน่น ที่เราจะไม่ค่อยได้ยินได้ฟังจากปากของคนชื่อวิษณุเท่าไหร่ แต่หนนี้นอกจากบอกว่ารัฐมนตรีจะทำอะไรก็ได้ ยังบอกต่อไปอีกว่า หากจะมีรัฐมนตรีไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองไม่น่าจะตำหนิ เพราะเป็นการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย ข้อสำคัญคือต้องไม่ใช้ความเป็นรัฐมนตรีไปทำประโยชน์ให้พรรคที่ตนเป็นสมาชิกหรือเป็นหัวหน้าพรรค

เรียกได้ว่าชูสองแขนสนับสนุนเต็มที่ และแน่นอนนั่นเป็นใบเสร็จอย่างหนึ่งว่า เสนาบดีของคณะรัฐบาลเผด็จการจำนวนไม่น้อยจะไปทำงานการเมืองกับพรรคการเมืองที่ฟูมฟักกันมา และช่วงชิงความได้เปรียบในสนามเลือกตั้งก่อนใครเพื่อน เพื่อเป้าหมายผลักดันหัวหน้าคสช.กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกกระทอก โดยอ้างจุดยืนเพื่อความต่อเนื่องของงานและสานต่อยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากจะมีคนในรัฐบาลแห่แหนไปร่วมก๊วนกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ดังนั้น สิ่งสำคัญที่น่าจับตาจึงไม่ใช่อยู่ที่ว่าจะมีใครไปร่วมวงไพบูลย์ด้วย และท่วงทำนองในการหาเสียงจะใช้วิธีการใด เพราะการไปประชุมครม.สัญจรถี่ยิบเป็นคำตอบของข้อกังขาเหล่านั้นอยู่แล้ว ที่น่าสนใจมากกว่าคือสิ่งที่กองหนุนทั้งหลายอ้างว่าถ้าได้บิ๊กตู่เป็นผู้นำอีกรอบ รัฐบาลจะมีเสถียรภาพและไร้ความขัดแย้ง

นั่นหมายความว่า ต้องช่วยกันจับตาจะมีกระบวนการเล่นแร่แปรธาตุอะไรเพื่อให้อาวุธพิเศษ เช่น มาตรา 44 ติดไม้ติดมือผู้นำเผด็จการไปด้วย เพราะในความเป็นจริงหากมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งแล้วไม่มีข้อกฎหมายพิเศษใด ๆ ไร้อำนาจวิเศษเหมือนที่เป็นอยู่ ถามว่าบิ๊กตู่จะทำให้การเมืองนิ่ง ไม่มีม็อบ ไม่มีใครออกมาเคลื่อนไหวได้อย่างไร

ที่น่าจับตามองจึงเป็นเรื่องของการใช้อภินิหารทางกฎหมายมากกว่า จากอดีตผบ.ทบ.ที่อำนาจขาดไปจากมือ เพื่อไม่ให้ขาลอยก็ได้มาตรา 44 มาเป็นยาวิเศษเสกได้ทุกอย่างดั่งใจ ถ้าต้องปล่อยมือจากเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตย โดยมีโจทย์ว่าตัวเองจะต้องไปเป็นผู้นำเหมือนเดิม โดยไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือพิเศษใด ๆ มาคอยค้ำยัน มันไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับคนที่คิดสืบทอดอำนาจ

อย่าคิดว่าของพรรค์นี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะนั่นอาจจะเป็นการเรียกแขกทำให้คนลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน แต่อย่าลืมว่ากว่าจะมีรัฐบาลใหม่อำนาจเผด็จการทุกอย่างยังอยู่ครบ หากเกิดเหตุเช่นนั้นจริงก็เท่ากับเดินเข้าทาง เลือกตั้งสั่งยกเลิกได้ และเป็นการสร้างความชอบธรรมให้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดใช้เป็นข้ออ้างเพื่ออยู่บริหารบ้านเมืองให้สงบต่อไป

อย่างไรก็ตาม เห็นจากการเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ บวกกับพันธมิตรที่มีอย่างหนาแน่นและเหนียวหนึบ สิ่งที่กังวลกันอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ เส้นทางการสืบทอดอำนาจคงจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ จากผู้นำเผด็จการจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่ผ่านการเลือกตั้งได้อย่างสง่างาม อยากจะทำใจให้เชื่อเช่นนั้น แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่เคยเห็นผู้นำเผด็จการรายใดที่คิดจะถือครองอำนาจต่อปิดฉากตัวเองได้แบบสวยหรู

ส่วนฟากพรรคการเมือง พลังประชารัฐนั้นไม่ต้องห่วงเนื้อหอมมีคนรุมตอมทั้งอดีตส.ส.และอดีตคนมีสีทั้งหลายแหล่ แต่ที่มาแบบเงียบ ๆ แล้วรอกินรวบด้วยเหตุผลไม่อยากร่วมงานกับพรรคเผด็จการและไม่อาจอยู่กับพรรคนายใหญ่ต่อไปได้ด้วยแรงกดดันจากผู้มีอำนาจ ภูมิใจไทยของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล จึงเป็นทางเลือกของคนจำพวกนี้เพื่อจะได้ไม่อึดอัดต่อการตอบคำถามประชาชนในพื้นที่

ถือว่าไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ พอจะเป็นขอนไม้ให้พวกที่กำลังลอยคอกลางทะเลเกาะเข้าฝั่งได้ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 2 ตุลาคมนี้มีการนัดประชุมใหญ่ของพรรค เราคงจะได้เห็นโฉมหน้าของบุคคลที่จะเข้าร่วมกับพรรคการเมืองแห่งนี้ ถ้ามีเซอร์ไพรส์ระดับบิ๊กเนม นั่นเป็นสัญญาณว่า จะมีอดีตส.ส.อีกจำนวนไม่น้อยที่จะไหลตามมา และน่าจะรู้แล้วว่าทิศทางหลังเลือกตั้งของเสี่ยหนูและพรรคจะไปยืนอยู่ตรงจุดใด

Back to top button