SAWAD กอดคอ MTC พุ่งแรง! ไม่หวั่นพ.ร.บ.คุมสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ

SAWAD-MTC กอดคอพุ่งแรง! สวนพรบ.คุมสินเชื่อทะเบียนรถ โบรกฯฟันธงไม่กระทบรายได้เหตุคิดดบ.ต่ำกว่า28%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ล่าสุด ณ เวลา 11.01 น. อยู่ที่ 48.75 บาท บวก 3.25 บาท หรือ 7.14% สูงสุดที่ 49 บาท ต่ำสุดที่ 46 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 602 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ราคาหุ้น บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ล่าสุด ณ เวลา 11.01 น. อยู่ที่ 49.25 บาท บวก 4 บาท หรือ 8.84% สูงสุดที่ 49.50 บาท ต่ำสุดที่ 46.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 610.31 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น SAWAD และ MTC ปรับตัวขึ้นแรงในวันนี้สวนกระแสข่าว ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เตรียมออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ได้ภายในเดือน พ.ย. 2561

ทั้งนี้ ธปท.จะกำกับดูแลเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยที่มีทุนจดทะเบียนต่ำกว่านี้ จะอยู่ในการกำกับดูแลของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ภายใต้ใบอนุญาตสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (พิโกไฟแนนซ์)

สำหรับหลักการและเหตุผลที่ ธปท.ต้องเข้ามากำกับดูแล เนื่องจากในปัจจุบันธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน มีบทบาทสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชน เป็นแหล่งสินเชื่อที่พึ่งพาได้ โดยเฉพาะเมื่อมีความต้องการใช้เงินเร็วและไม่มีหลักฐานรายได้ประจำ แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายหรือผู้กำกับดูแลการประกอบธุรกิจนี้โดยเฉพาะ ทำให้ผู้ประกอบการที่มีอยู่จำนวนมากทำธุรกิจบนมาตรฐานที่ต่างกัน ทั้งอัตราดอกเบี้ย และการให้บริการ อีกทั้งที่ผ่านมา ธปท.ได้รับทราบข้อร้องเรียนจากประชาชนในการคิดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมสูงเกินกำหนด หรือการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างไม่เป็นธรรม

ด้าน บล. เอเชีย พลัส เปิดเผยว่า แม้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังไม่ได้ประกาศหลักเกณฑ์การทำธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถของผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) อย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นในช่วง พ.ย. นี้ แต่กระแสข่าวที่ได้ทราบมาดูเหมือนจะดีกว่าที่ตลาดคาด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยฯ ที่ถูกกำหนดเพดานไว้ที่ 28% ต่อปี ซึ่งรวมทั้งดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าปรับ ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ และค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่ยังไม่รวมค่าทวงถามหนี้ที่สามารถคิดได้ตามจริง

ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดฯ 2 ราย คือ SAWAD และ MTC พบว่า ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อของ SAWAD เฉลี่ยเท่ากับ 22% ต่อปี (ดำเนินงานภายใต้ใบอนุญาตฯ ผ่านทางบริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT และ ธปท. กำกับดูแล) ส่วน MTC อัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อเฉลี่ยเท่ากับ 23% ต่อปี (แบ่งการให้สินเชื่อเป็น 2 สัญญาคือ สัญญาเงินกู้ยืม อัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปี และ สัญญา Nano Finance อัตราดอกเบี้ย 36%) และเมื่อรวมกับค่าธรรมเนียมการให้บริการอีก 4% ของ SAWAD และ 1% ของ MTC ทำให้อัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหมดของ SAWAD อยู่ที่ 26% ต่อปี และ MTC ที่ 24% ต่อปี

ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยโดยรวมที่ทั้ง 2 รายคิดกับลูกค้าข้างต้นได้รวมค่าปรับไว้แล้ว  ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเพดานเกณฑ์ใหม่ที่จะประกาศใช้ 28% ต่อปี และถือว่ามีช่องว่างที่ผู้ประกอบการอาจจะมีการขยับขยายอัตราดอกเบี้ยขึ้นในอนาคตได้

นอกจากนี้ยังกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการสินเชื่อที่ทุนเรียกชำระแล้วต่ำกว่า 50 ล้านบาท ให้ไปจดทะเบียนขอใบอนุญาตพิโกไฟแนนซ์ เพื่ออยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทไม่ได้จดทะเบียนในตลาดฯ และบริษัทที่ให้บริการในพื้นที่ต่างจังหวัด ส่วนผู้ประกอบการสินเชื่อที่มีเงินทุนเรียกชำระแล้วเกิน 50 ล้านบาท ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. ซึ่งทั้ง SAWAD และ MTV ถือว่าเข้าเกณฑ์

โดยสรุปแล้ว หลักเกณฑ์ใหม่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ และน่าจะเป็น sentiment เชิงบวกช่วยปลดล็อคความกังวลไปได้ทั้ง SAWAD และ MTC ฝ่ายวิจัยจึงปรับเพิ่มคำแนะนำทั้ง 2 บริษัทขึ้นเป็น ซื้อ จากเดิม switch และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 2562 โดย SAWAD อยู่ที่ 55 บาท (เดิมปี 2561 เท่ากับ 45 บาท) และ MTC อยู่ที่ 56 บาท (เดิมปี 2561 เท่ากับ 42 บาท) อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น MTC ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ SAWAD ยัง laggad กว่า จึงชอบ SAWAD มากกว่า

ขณะที่ด้านเทคนิค SAWAD ราคาอยู่ในจังหวะของการฟื้นตัวมาตั้งแต่ช่วงสิ้นเดือน มิ.ย. 61 ซึ่งล่าสุดสามารถพลิกกลับมายืนเหนือเส้น EMA 200 วัน และกำลังสร้างฐานอยู่เหนือเส้นดังกล่าว หากยืนได้มีโอกาสที่จะดีดขึ้นต่อ

โดยมี RSI ที่กำลังเคลื่อนที่อยู่เหนือระดับ 50 และหากสังเกตว่าตั้งแต่ช่วงที่ราคากำลังอยู่ในจังหวะฟื้นตัว (สิ้นเดือน มิ.ย. 61) RSI นั้นแทบจะไม่กลับไปต่ำกว่าระดับ 50 อีกเลย จึงเป็นการสะท้อนถึงโมเมนตัมเชิงบวกที่คอยหนุนราคามาอย่างต่อเนื่อง จึงมีโอกาสสูงที่จะเห็นราคาปรับตัวขึ้นต่อ

ทั้งนี้ ราคาจะมีแนวต้านถัดไปอยู่มี่ 48.75 บาท ซึ่งประเมินโดย Fibonacci Retracement ระดับ 50%

Back to top button