เปิดหุ้น mai สุดเหนียว

“ข่าวหุ้นธุรกิจ” รวบรวมหุ้นเล็กในตลาด mai ที่สุดเหนียวราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้รับผลกระทบจากดัชนีที่มีความผันผวนมาให้นักลงทุนเอาไว้พิจารณาในการลงทุน แต่หุ้นดังกล่าวเป็นการวัดเฉพาะราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้น ไม่ได้นำพื้นฐานอย่างอื่นเข้ามาพิจารณาเปรียบเทียบ


ณ เดือนพฤษภาคม 2558 สิ้นสุดวันที่ 29 พ.ค. 58 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 1,496.05 จุด ลดลง 30.69 จุด หรือลงไป 2% เมื่อนำมาเทียบกับวันที่ 30 เม.ย. 58 ที่อยู่ระดับ 1,526.74 จุด ส่งผลให้ราคาหุ้นไม่ว่าจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง รวมไปถึงหุ้นขนาดเล็กต่างปรับตัวลงถ้วนหน้า

“ข่าวหุ้นธุรกิจ” รวบรวมหุ้นเล็กในตลาด mai ที่สุดเหนียวราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้รับผลกระทบจากดัชนีที่มีความผันผวนมาให้นักลงทุนเอาไว้พิจารณาในการลงทุน แต่หุ้นดังกล่าวเป็นการวัดเฉพาะราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้น ไม่ได้นำพื้นฐานอย่างอื่นเข้ามาพิจารณาเปรียบเทียบ

 

ความเข้มแข็งของราคาหุ้นในตลาด mai ที่ปรับตัวขึ้นเกิน 10% ซึ่งสวนทางกับดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาคม มีดังนี้

 

เริ่มต้นที่ตัวแรก บริษัท เอเซีย จอยท์ พาโนราม่า จำกัด (มหาชน) หรือ AJP โดยวันที่ 30 เม.ย. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 9.70 บาท ขณะที่วันที่ 29 พ.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 13.70 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 48.78% ขณะที่แผนลงทุนครั้งใหญ่ของบริษัทวางรากฐานปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ภายใน 1-2 ปี หลังกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ยืนยันพร้อมใส่เงินเพิ่มเสริมความแข็งแกร่ง หวังระดมเงินจากการออกหุ้นเพิ่มทุน-ออกหุ้นกู้ตั้งธงรุกลงทุน-ร่วมทุน-ซื้อกิจการต่อจิ๊กซอว์ 3 สายธุรกิจหลัก มีเดียและอีเวนต์, พลังงาน และไอที ผลักดันการเติบโตโดยอาศัยธุรกิจเดิมให้เช่าช่องทีวีดาวเทียมเป็นฐาน ซึ่งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตก้าวกระโดดในอนาคต

 

ตัวที่สอง บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW โดยวันที่ 30 เม.ย. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 9.30 บาท ขณะที่วันที่ 29 พ.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 12.40 บาท เพิ่มขึ้น 3.10 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 33.33% ขณะที่ผู้บริหารระบุว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาสที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะยังคงทำผลงานให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงมุ่งเน้นลดต้นทุนในการผลิต เพื่อรักษาอัตราขั้นต้นให้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 23-25% ส่วนรายได้รวมยังคงตั้งเป้าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 180-200 ล้านบาท และคาดว่าจะมีงานใหม่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากภาครัฐและเอกชน

ประกอบกับปัจจุบันบริษัทยังมีใบสั่งซื้อสินค้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการผลิตคิดเป็นจำนวนมากกว่า 171 ล้านบาท และบริษัทยังอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงงานท่อร้อยสายไฟใต้ดินชนิดอีพ็อกซีเรซินเสริมใยแก้ว บนพื้นที่ 8 ไร่ คาดจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคมนี้ เบื้องต้นวางงบลงทุนไว้ราว 25 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเสริมรายได้ในอนาคตสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้กับงานปรับปรุงระบบเดินสายใต้ดินที่จะเกิดขึ้นจากการปรับปรุงระบบการเดินสายของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม เพื่อการเติบโตของกลุ่มบริษัทอย่างมีศักยภาพบริษัทยังคงมองหาตลาดส่งออกใหม่ๆ เพิ่ม จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทแบ่งเป็น งานจากโครงการที่ดำเนินการภายในประเทศ 90% และ 10% มาจากการส่งออกไปยังต่างประเทศ

 

ตัวที่สาม บริษัท สตาร์ ซานิทารีแวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STAR โดยวันที่ 30 เม.ย. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 4.18 บาท ขณะที่วันที่ 29 พ.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 5.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.32 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 31.58% ขณะที่การเข้าลงทุนในหุ้น STAR เหตุจากธุรกิจมีการดำเนินการที่ใช้ได้ และผู้บริหารก็ดี โดย STAR มีการเปิดตลาดต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งหากเปิดตลาดต่างประเทศไปได้ดีก็จะทำให้มี upside ซึ่งขณะนี้ยอดขายไปต่างประเทศก็มีไม่น้อย และถ้าบริษัทมี project ต่างประเทศเข้ามาก็จะทำให้บริษัทเติบโตได้ดี

 

ตัวที่สี่ บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI โดยวันที่ 30 เม.ย. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 6.95 บาท ขณะที่วันที่ 29 พ.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 8.90 บาท เพิ่มขึ้น 1.95 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 28.06% ขณะที่ผู้บริหารระบุว่าบริษัทยังคงตั้งเป้าการเติบโตของกำไรปี 2558 ที่ 100% และคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้ เนื่องจากไตรมาส 2 ปี 2558 บริษัทคาดว่าจะรับรู้กำไรจากการก่อสร้างที่ร่วมทุนกับบริษัท CAZ เข้ามา และขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเร่งศึกษาโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งคาดว่าจะสามารถแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้

 

ตัวที่ห้า บริษัท พรอดดิจิ จำกัด (มหาชน) หรือ PDG โดยวันที่ 30 เม.ย. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 3.80 บาท ขณะที่วันที่ 29 พ.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 4.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 21.05% ขณะที่ภายในไตรมาส 2 ปี 58 บริษัทยังมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากลูกค้าในประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทประเมินผลประกอบการครึ่งปีแรกน่าจะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อนด้วยเช่นกัน อีกทั้งบริษัทมีแผนเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตอีก 10% เพื่อรองรับกับออเดอร์ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ คาดจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ภายในช่วงปลายปี 2558 หรือต้นปี 2559

 

ตัวที่หก บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL โดยวันที่ 30 เม.ย. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 1.05 บาท ขณะที่วันที่ 29 พ.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 1.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 19.05% ขณะที่วันที่ 1 เมษายน 2558 บริษัทลงนามบันทึกข้อตกลงซื้อขายหุ้นกับผู้ถือหุ้นของบริษัท สยามสเนล จำกัด เพื่อร่วมมือในการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณจากสารสกัดเมือกหอยทาก เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาบริษัทเพิ่มบุคลากรในธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ รวมถึงเพิ่มสินค้าที่มีนวัตกรรมที่สร้างมาร์จิ้นสูง จึงทำให้มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น ส่วนธุรกิจด้านบริการความงามก็มาจากผลการดำเนินงานของวุฒิ-ศักดิ์ คลินิก ที่เติบโตตามคาด และมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้นทั้งจากสาขาในประเทศ และแฟรนไชส์ในต่างประเทศ ผลดังกล่าวจะส่งผลให้บริษัทเติบโตได้ในอนาคต

 

ตัวที่เจ็ด บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA โดยวันที่ 30 เม.ย. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 5.40 บาท ขณะที่วันที่ 29 พ.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 6.15 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 13.89% ขณะที่การเติบโตปีนี้จะอยู่ราว 50% ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมที่น่าจะโตได้ 10% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว หรือนโยบายของภาครัฐ โดยจะเห็นได้ว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมาเรามีการเติบโตถึง 56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 24%

ขณะที่ไตรมาส 2 ปี 58 คาดว่าน่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทคาดหวังอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20% จากปีก่อน 18% ส่วนสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทในปีนี้ยังมาจากธุรกิจสปาทั้ง 2 แบรนด์ คือ ระรินจินดา เวลล์เนส สปา (ระดับ 5 ดาว) และ Let’s Relax Spa (ระดับ 4 ดาว) คิดเป็น 80% ขณะที่รายได้จากธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารคิดเป็น 14% ส่วนที่เหลือเป็นการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สปาและอื่นๆ

 

ตัวที่แปด บริษัท ลีซ อิท จำกัด (มหาชน) หรือ LIT โดยวันที่ 30 เม.ย. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 4.06 บาท ขณะที่วันที่ 29 พ.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 4.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.54 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 13.30% ขณะที่ผู้บริหารระบุว่า การที่สถาบันการเงินคุมเข้มปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เนื่องจากกังวลปัญหาเศรษฐกิจ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการขยายสินเชื่อแฟคตอริ่งของบริษัทในการขยายฐานลูกค้าภาคเอกชน โดยในปีนี้ถือเป็นปีแรกที่บริษัทรุกตลาดภาคเอกชนอย่างหนัก โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้าภาคเอกชนเพิ่มเป็น 30% จากเดิมมีสัดส่วนเพียง 20% ของสินเชื่อรวมเท่านั้น ส่วนที่เหลือยังคงเป็นสินเชื่อที่ปล่อยให้กับหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ

 

ตัวที่เก้า บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON โดยวันที่ 30 เม.ย. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 9 บาท ขณะที่วันที่ 29 พ.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 9.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 10%ขณะที่ภาพรวมของธุรกิจปี 2558 บริษัทยังคงตั้งเป้าการเติบโตของกำไรสุทธิประมาณ 15-20% จากปี 2557 ปัจจุบันบริษัทมี Backlog จำนวน 900 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทยังเซ็นสัญญารับงานวางฐานรากเสาเข็มแบบเจาะ คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 2-3 เดือนและสามารถรับรู้รายได้ภายในปีนี้ทันที โดยทยอยรับรู้รายได้ไปบางส่วนแล้ว อีกทั้งยังยื่นประมูลงานใหม่เพิ่มเติมมูลค่ารวมประมาณ 1,000 ล้านบาท

 

หุ้นทั้ง 9 ตัวดังกล่าวถือเป็นหุ้นที่ไม่ตกต่ำตามภาวะตลาด ทั้งยังสามารถทรงตัวอยู่ระดับที่มั่นคง ไม่ได้ปรับตัวลงจนมีนัยสำคัญแต่อย่างใด!!

 

ตารางราคาหุ้นในตลาด mai ที่ปรับตัวขึ้นเกิน 10% (ประจำเดือนพฤษภาคม 2558)

หลักทรัพย์ 29-พ.ค.-58 30-เม.ย.-58 เปลี่ยนแปลง
บาท %
AJP 13.7 9.7 4 41.24
ARROW 12.4 9.3 3.1 33.33
STAR 5.5 4.18 1.32 31.58
TAKUNI 8.9 6.95 1.95 28.06
PDG 4.6 3.8 0.8 21.05
EFORL 1.25 1.05 0.2 19.05
SPA 6.15 5.4 0.75 13.89
LIT 4.6 4.06 0.54 13.3
PYLON 9.9 9 0.9 10

Back to top button