พาราสาวะถีอรชุน

สร้างแรงกระเพื่อมมหึมาทีเดียวสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ในกรณีให้สมาชิกสปช.พ้นสภาพทันทีหลังจากที่เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นจะแปรสภาพเป็นสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ โดยให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้แต่งตั้งจำนวนไม่เกิน 200 คน นั่นหมายว่า ถ้าไม่นับเอาคนนอก เจาะจงเฉพาะว่าที่อดีตสปช.จะมีคนไม่ได้กลับมาอย่างน้อย 50 คน


สร้างแรงกระเพื่อมมหึมาทีเดียวสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ในกรณีให้สมาชิกสปช.พ้นสภาพทันทีหลังจากที่เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นจะแปรสภาพเป็นสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ โดยให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้แต่งตั้งจำนวนไม่เกิน 200 คน นั่นหมายว่า ถ้าไม่นับเอาคนนอก เจาะจงเฉพาะว่าที่อดีตสปช.จะมีคนไม่ได้กลับมาอย่างน้อย 50 คน

แน่นอนว่า จำนวนคนที่ถูกคัดออกย่อมมีมากกว่านั้น เพราะหากไม่อยากให้ถูกครหาบิ๊กตู่จะต้องแต่งตั้งหน้าใหม่ให้เข้ามารับไม้ต่อสปช.เพื่อภารกิจการปฏิรูปให้สำเร็จ ในจังหวะนี้ยังไม่พูดถึงการกำเนิดเกิดขึ้นของสภาขับเคลื่อนฯ ทั้งๆ ที่ร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ผ่านความเห็นชอบของสปช.หรือการทำประชามติ แต่ครม.และคสช.ก็ลักไก่ตั้งขึ้นก่อน เหมือนเป็นการบีบให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ต้องถอดสภาขับเคลื่อนฯ ที่บัญญัติไว้ในร่างออกไปโดยปริยาย

ในจังหวะที่สมาชิกสปช.กำลังนับถอยหลังชะตาชีวิตตัวเองที่มีวาสนาได้มานั่งเก้าอี้จากการแต่งตั้งนั้น ทำให้เห็นภาพของภาวะผึ้งแตกรังได้เป็นอย่างดี มีการออกมาโต้ตอบกันไปมาระหว่างสมาชิกสปช. คู่ที่น่าสนใจคือรายของ อมร วานิชวิวัฒน์ สปช.ที่มาจากสายนักวิชาการในฐานะอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กับ เสรี สุวรรณภานนท์  สปช.นักกฎหมาย

วันก่อนอาจารย์อมรพูดถึงสปช.สายขี้ฟ้องที่คอยยกหูรายงานผู้ใหญ่ตลอดเวลา เสรีเลยตอกหน้าหงายว่าจะให้ดีควรเปิดเผยรายชื่อมาให้ชัดๆ ว่าใครเป็นบุคคลตามที่ถูกกล่าวหา ล่าสุด เจ้าตัวเลยย้อนกลับอดีตทนายความชื่อดังว่า ตัวเองไม่ใช่นักเลงที่จะไปเที่ยวท้าตีท้ายต่อยกับใคร จึงไม่ต้องมาถามว่าจะต้องเปิดเผยชื่อ ใครก็ตามที่สามารถต่อสายถึงขั้วอำนาจต่างๆ ได้เจ้าตัวรู้อยู่แก่ใจ

ไม่เพียงเท่านั้น อาจารย์อมรยังตอกกลับต่อว่า ไม่ได้เครียด แต่รำคาญ เพราะการไปจี้ใจดำคนบางคน ทำให้ถึงกับอยู่กันไม่สุข ต้องออกมาให้สัมภาษณ์กันคนละทีสองที เพื่อนสปช.ที่โทรศัพท์มาหรือไลน์มาให้กำลังใจมีมากกว่าคนที่มองตนเองในแง่ร้าย จึงไม่กังวล ยังเดินหน้าเข้าสภาทำหน้าที่ต่อไป เรียกได้ว่า ผลสะเทือนจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้นมันสั่นไหวรุนแรงเหลือเกิน

ทีนี้หากจะมองในแง่ของสมาชิกสปช.ทั้ง 250 คน อาจจะจำแนกแยกได้เป็น 3 จำพวก พวกแรกคือ พวกที่ไม่ใส่ใจว่าจะอยู่ต่อหรือไม่ ถึงขณะนี้คนพวกนี้ยังเคลื่อนไหวไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเพราะมีเป้าหมายทั้งไม่รับเนื้อหาและไม่ชอบพฤติกรรม บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่มักเล่นบทลูกมือคนดีของบิ๊กตู่ จนออกอาการแบบผู้มีอำนาจเหนือทุกอย่าง

พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้จะออกมาส่งเสียงโวกเวกโวยวายผ่านสื่อ โดยชูเป้าหมายล้มร่างรัฐธรรมนูญ ปูมหลังของคนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ร่วมเคลื่อนไหวกับม็อบกปปส.มาก่อนไม่ว่าจะเป็น เสรี สุวรรณภานนท์ สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ หรือแม้แต่ วันชัย สอนศิริ ที่บางคนมองว่าน่าจะก้ำกึ่งระหว่างพวกอยากอยู่ต่อเสียด้วยซ้ำไป

อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มแรกนี้ถูกมองว่าเป็นพวกนอกแถว นอกลู่นอกทางในสปช. ล่าสุดวันชัยก็ออกมาตอกย้ำจุดยืนเรื่องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่หนนี้อธิบายเหตุผลทะลุปรุโปร่งว่า ระหว่างการเลือกให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่าน แล้วให้ดอกเตอร์ปื๊ดพร้อมกรรมาธิการยกร่างฯ ชุดนี้ อยู่ต่อไปจนมีการเลือกตั้ง กับการเลือกให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน แล้วให้บิ๊กตู่อยู่ปฏิรูปต่อไปพร้อมตั้งกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ตนขอเลือกคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ

กลุ่มต่อมาคือ พวกต้องการอยู่ต่อ แต่ออกอาการไม่พอใจกลุ่มที่ออกนอกลู่นอกทาง ทว่ามีทิศทางเดียวกันคือขวางร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่พอใจท่าทีบวรศักดิ์ที่คอยกำกับและควบคุมการสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่ กลุ่มนี้เป็นพวกชอบรักษาหน้า สร้างราคาให้ตัวเองดูดี นำโดย ไพบูลย์ นิติตะวัน พร้อมด้วยเอ็นจีโอที่ชอบเข้าสู่ถนนแห่งอำนาจด้วยการลากตั้ง

ส่วนกลุ่มสุดท้าย เป็นพวกที่เงียบเชียบที่สุด ทว่าเป็นกลุ่มใหญ่ในสปช. บทบาทการทำงานแทบไม่ปรากฏ ไม่มีแม้กระทั่งการรายงานการปฏิบัติหน้าที่ปฏิรูปให้สังคมได้รับรู้ คนในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับสูง เป็นทหารใหญ่ เป็นนักธุรกิจ สื่อมวลชน รวมทั้งอดีตสมาชิกพรรคการเมือง กลุ่มนี้มีจุดยืน “อยู่ต่อ” จึงมักถูกกลุ่มนอกแถวประชดประชันกล่าวโทษอยู่เนืองๆ ว่า ไม่ทำงานจนเป็นเหตุให้ถูกยุบทิ้งก่อนเวลาอันควร

เมื่อจำแนกกลุ่มสมาชิกสปช.ออกมาในลักษณะเช่นนี้ ทำให้เห็นว่าจากจำนวน 250 คนนั้น พวกไหนที่จะได้ไปต่อ พวกไหนที่จะต้องเก็บกระเป๋าหอบเอาลูกเมียและญาติสนิทมิตรสหายที่เล่นแร่แปรธาตุตั้งกันมาช่วยงานกลับไปนั่งตบยุงที่บ้าน หลังจากหมดวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแล้วจะได้รู้กัน ส่วนพวกที่แต่งตัวรอตอนนี้ได้เลย หนีไม่พ้นอดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109

ที่กล้าการันตีเช่นนี้ เพราะมีบางส่วนได้รับการทาบทามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในส่วนของผู้มีอำนาจเป้าหมายเพื่อเป็นการสร้างภาพให้เห็นว่า กระบวนการปฏิรูปประเทศนั้นมีความหลากหลายไม่ได้ปิดกั้นคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ขณะที่ฝ่ายซึ่งยอมรับเทียบเชิญก็เหมือนเป็นการตีตั๋วสำหรับการเปลี่ยนสีเสื้อทางการเมืองครั้งหน้าส่วนหนึ่ง ส่วนอีกพวกก็คือ “จอมเสียบ” มืออาชีพ

ตลกที่หัวร่อไม่ได้ แปลกใจกับการที่มีคนไปถาม หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจว่าจะมีการดึง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หลังได้รับการปลดล็อกมาร่วมทีมหรือไม่ เพราะคำตอบนั่นรู้อยู่แล้ว เช่นเดียวกับการไปถาม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่วิสัชนากลับมาไม่แตกต่างกัน บางทีจะถามใครต้องดูด้วยว่า เขารักกันหรือเปล่า

ส่วนบิ๊กตู่รายนี้ไม่ต้องพูดถึง เก็บอาการสุดๆ แต่ท้ายที่สุดสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่บีบบังคับมันหนีไม่ออกที่จะต้องเขย่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ทว่าคนที่ทำให้ชาวบ้านร้านรวงหัวร่อฟันแทบร่วง คงเป็น เกียรติ สิทธีอมร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต่อการวิพากษ์วิจารณ์แนวโน้มการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีเศรษฐกิจของครม.ประยุทธ์

คำตอบที่บอกว่า ถ้าทีมงานดีแต่ทำงานไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ตรงจุด ก็ไม่มีประโยชน์ไม่ว่าหน้าตาจะดีขนาดไหน บางคนคิดดีมากทำวิชาการดีด้วย พูดเก่งมากด้วย แต่ไม่สามารถทำให้นโยบายเป็นรูปธรรมได้ ก็ไม่มีประโยชน์ เลยไม่รู้ว่าติติงรัฐบาลนี้หรือด่ารัฐบาลที่มีบางพรรคการเมืองเคยบริหารก่อนหน้านี้จนถูกประชาชีเขาด่ากันทั้งประเทศว่า “ดีแต่พูด”

Back to top button