พาราสาวะถี

น่าสนใจต่อการโพสต์จดหมายเปิดผนึกขอโทษ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีว.5โฟร์ซีซั่นของ “3 เกลอสายล่อฟ้า” ผ่านเฟซบุ๊กของ ศิริโชค โสภา โดยเนื้อหาในหนังสือมีเพื่อนร่วมก๊วนอีก 2 รายอย่าง ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต และ เทพไท เสนพงศ์ เซ็นรับรองต่อการประกาศขออภัยดังกล่าวด้วยความมีน้ำใจของอดีตนายกฯหญิงที่ยอมถอนฎีกา เหตุผลคือ คดีนี้ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 19 ตุลาคมนี้


อรชุน

น่าสนใจต่อการโพสต์จดหมายเปิดผนึกขอโทษ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีว.5โฟร์ซีซั่นของ “3 เกลอสายล่อฟ้า” ผ่านเฟซบุ๊กของ ศิริโชค โสภา โดยเนื้อหาในหนังสือมีเพื่อนร่วมก๊วนอีก 2 รายอย่าง ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต และ เทพไท เสนพงศ์ เซ็นรับรองต่อการประกาศขออภัยดังกล่าวด้วยความมีน้ำใจของอดีตนายกฯหญิงที่ยอมถอนฎีกา เหตุผลคือ คดีนี้ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 19 ตุลาคมนี้

โดยก่อนหน้านั้นศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก 1 ปีรอลงอาญา 2 ปีพร้อมโทษปรับ โดยที่ยิ่งลักษณ์ส่งทนายยื่นฎีกาเพื่อให้มีการยกเลิกการรอลงอาญากับจำเลยทั้ง 3 คน แน่นอนว่าในส่วนของคำพิพากษาไม่มีใครกล้าก้าวล่วงหรือชี้นำได้ แต่ในรูปของคดีหากไม่มีการรอลงอาญาแล้วต้องรับโทษจำคุก นั่นหมายความว่าทั้ง 3 คนจะหมดอนาคตทางการเมืองโดยทันที

นี่จึงเป็นเหตุที่เกิดการโพนทะนาถึงความใจกว้าง มีน้ำใจ ไม่ถือโทษโกรธเคืองของอดีตนายกฯหญิง แต่ก็เกิดการดรามาขึ้นมาอีก เมื่อศิริโชคโพสต์จดหมายดังกล่าวยังไม่ถึง 24 ชั่วโมงแล้วก็ลบโพสต์ไป จนเกิดเสียงวิจารณ์ สุดท้ายจึงต้องกลับมาโพสต์ใหม่และประกาศจะค้างไว้ในหน้าเพจเป็นเวลา 7 วัน อย่างนี้ค่อยสมศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายกันหน่อย

จะว่าไปแล้วหากพิจารณาเนื้อหาที่ทั้ง 3 คนนำมาพูดคุยผ่านรายการทางสถานีโทรทัศน์ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ถือเป็นเรื่องต่ำตมโสมมอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่ยิ่งลักษณ์แต่เป็นสุภาพสตรีคนอื่น เชื่อว่าองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องสิทธิสตรีคงออกมาเคลื่อนไหวกันอย่างอึกทึกครึกโครมแล้ว นี่ถือเป็นบทเรียนของการพูดเอามัน สนุกปากแต่สุดท้ายก็ต้องทุกข์ถนัด

อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าสำหรับการเจรจาเพื่อให้เกิดการยอมถอนฎีกาของยิ่งลักษณ์นั้นเป็นฝีมือของ “เสี่ยไก่” วัฒนา อัศวเหม ที่ต้องยอมรับกันว่าหากเป็นในแง่มุมของข้อกฎหมายแล้วเจ้าตัวไม่เป็นสองรองใคร มิเช่นนั้น คงไม่กล้าปักหลักซัดกับคณะเผด็จการผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว จนต้องถูกเรียกปรับทัศนคติและถูกดำเนินคดีอยู่เนือง ๆ

เรื่องนี้เมื่อทนายความของยิ่งลักษณ์ไปยื่นถอนฎีกาแล้วก็เป็นอันว่าทุกอย่างจบกัน ส่วนจะมีใครบางคนของพรรคเก่าแก่ที่ไม่ใช่ 3 เกลอยังติดใจแล้วเอาไปพูดต่อ นั่นก็เป็นเรื่องสันดานของแต่ละคนกันแล้ว เมื่อเห็นคดีนี้เป็นตัวอย่างต่อให้กินดีหมีสวมหัวใจเสือมาอย่างไรก็คงไม่มีใครกล้าที่จะไปตอแยอีก แต่บทสรุปในคดีที่มีการรอมชอมกันคงไม่ต้องมองไปไกลของการทอดไมตรีอันดีระหว่างพรรคนายใหญ่กับพรรคเก่าแก่

ความเป็นจริงอย่างที่รับรู้กัน คนจำนวนไม่น้อยของพรรคเก่าแก่หัวใจเล็กเกินไปที่จะยอมจับมือกับพรรคของ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่เพราะเป็นศัตรูกันมาตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี แต่เป็นเพราะตลอดระยะเวลาที่ตั้งพรรคการเมืองมาอย่างยาวนานนั้น มีการอิงแอบแนบชิดอยู่กับอำนาจนอกระบบ สมคบคิดกันหลายครั้งหลายครา เห็นเป็นที่ประจักษ์กันเมื่อคราวไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารยุครัฐบาลเทพประทาน

นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สังฆกรรมกับระบอบทักษิณไม่ได้ มิเช่นนั้น เราคงไม่ได้ยินการขู่จากผู้มีอำนาจปัจจุบันต่อการแสดงท่าทีรังเกียจเผด็จการของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่ามากลับลำเปลี่ยนท่าทีหลังการเลือกตั้งก็แล้วกัน หากไม่มีอะไรต่อกันหรือมีเบื้องลึกเบื้องหลังร่วมกันมาก่อนคงไม่มีใครกล้าพูดถึงขนาดนั้น และเราก็ไม่ได้ยินผู้นำพรรคเก่าแก่ออกมาตอบโต้ประเด็นนี้อย่างหนักแน่นแต่อย่างใด

ควันหลงจากการทัวร์ชมกรุงของผู้นำเผด็จการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประกาศลั่นสิ่งที่ทำไม่ใช่การหาเสียง ไม่ใช่เรื่องการเมือง หนักไปกว่านั้นคือการออดอ้อนไม่ได้โกหกหลอกลวงประชาชน เรื่องไม่ทำตามสัญญาและขอเวลาอีกไม่นาน แต่คนการเมืองโดยเฉพาะเจ้าของพื้นที่เมืองหลวงอย่างประชาธิปัตย์ไม่ได้คิดและคล้อยตามท่านผู้นำแต่อย่างใด

โดย องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคเก่าแก่ระบุ วิญญูชนคนทั่วไปใช้วิจารณญาณได้ว่าการลงพื้นที่มีเรื่องการเมืองแอบแฝงอยู่แน่นอน เพราะตัวเองเพิ่งประกาศชัดเจนว่าสนใจงานการเมือง แล้วประชาชนคนกรุงเทพฯคงมองเรื่องการลงพื้นที่เป็นเรื่องฉาบฉวย ไม่ใช่สาระที่ควรจะใส่ใจอะไรมากมายอย่างนั้นหรือ

ในมุมขององอาจเชื่อว่าคนกรุงเทพฯมีความรู้ความคิดที่คิดเองได้ว่าคนที่พยายามจะเข้าสู่อำนาจทางการเมืองโดยวิธีการต่าง ๆ นั้นเขามองออกเพราะกรุงเทพฯเป็นพื้นที่พิเศษ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง คนกรุงเทพฯจะแสดงออกโดยหน้าที่ กำหนดอนาคตตัวเองผ่านการเลือกตั้งทุกครั้งอย่างเหมาะสม

ตรงนี้แหละที่น่าขีดเส้นใต้ ก่อนหน้านั้นคนเมืองหลวงอาจมีตัวเลือกแค่ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเลือกแบบไหน แต่ในบริบทที่วันนี้มีตัวแทนซึ่งมาล้มระบอบทักษิณที่ตัวเองไม่ชอบ ขณะเดียวกันพรรคเก่าแก่ก็ทำงานไม่เข้าตาจนออกอาการเบื่อ ด้วยทางเลือกแบบนี้จึงน่าติดตามว่าสมมติฐานของรองหัวหน้าพรรคเก่าแก่นั้นยังจะใช้ได้หรือไม่

ขณะที่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองว่าด้วยพรรคเนื้อหอมพลังประชารัฐ กับข่าวคราวการเสนอตัวเข้ามาร่วมงานของ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตรัฐมนตรีคนดังในยุคของทักษิณพร้อมออปชันดึงคนของพรรคนายใหญ่มาร่วมงานได้อีกจำนวนไม่น้อย เกิดปุจฉาตัวโตขึ้นมาทันทีทันใด ในแง่ความสามารถทางการตลาดของเจ้าตัวไม่มีใครสงสัย แต่ในมิติทางการเมืองถามว่าวันนี้ยังมีน้ำยาที่จะเรียกคะแนนเสียงจากประชาชนได้อีกอย่างนั้นหรือ

ต้องไม่ลืมว่าหลังจากการถูกยุบพรรคของพลังประชาชน มิ่งขวัญถูกชูให้เป็นหัวหน้าพรรคจากคนบางกลุ่มซึ่งสุดท้ายสร้างความไม่พอใจให้กับนายใหญ่จนเจ้าตัวไร้ที่ยืนทางการเมืองนับแต่นั้นมาและชื่อเสียงก็เงียบหายไป การปรากฏชื่อรอบนี้จึงไม่รู้ว่าน่าดีใจหรือไม่สำหรับพลังประชารัฐ แต่สำหรับเพื่อไทยคงไม่ได้เป็นอะไรที่น่ากลัวแม้แต่น้อย ที่น่าจับตาควรจะเป็นการบินมาฮ่องกงของทักษิณและการบินไปพบของเหล่าแกนนำพรรคมากกว่า จะมีอะไรสร้างความฮือฮาหรือจะมีเหตุอะไรให้หาเพื่อยุบพรรคนี้อีกหรือเปล่า

Back to top button