บลจ.ไทยพาณิชย์เตรียมจ่ายปันผลกองทุนหุ้นต่างประเทศ 2 กองรวด

นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นต่างประเทศ สำหรับผลการดำเนินระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 2557 - 31 พ.ค. 2558 จำนวน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (SCBS&P500) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นตลาดเกิดใหม่ (SCBEMEQ) ในวันที่ 24 มิ.ย.2558 ซึ่งทั้ง 2 กองทุนนั้นให้ผลตอบแทนในระดับที่ดีโดยสามารถปันผลกองทุน SCBS&P500 ในอัตรา 0.15 บาทต่อหน่วย และกองทุน SCBEMEQ ในอัตรา 0.08 บาทต่อหน่วย


นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นต่างประเทศ สำหรับผลการดำเนินระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 2557 – 31 พ.ค. 2558 จำนวน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (SCBS&P500) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นตลาดเกิดใหม่ (SCBEMEQ) ในวันที่ 24 มิ.ย.2558 ซึ่งทั้ง 2 กองทุนนั้นให้ผลตอบแทนในระดับที่ดีโดยสามารถปันผลกองทุน SCBS&P500 ในอัตรา 0.15 บาทต่อหน่วย และกองทุน SCBEMEQ ในอัตรา 0.08 บาทต่อหน่วย

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส นับเป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งนี้นับเป็นการจ่ายปันผลครั้งที่ 4 นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน รวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 0.80 บาทต่อหน่วย มีนโยบายที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียวคือ SPDR S&P 500 ETF Trust ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ New York (NYSE ARCA) ทั้งยังลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี S&P 500 โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี

ขณะที่กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นตลาดเกิดใหม่มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ ได้แก่ กองทุน Robeco Active Quant Emerging Markets Equities ชนิดหน่วยลงทุน “D share class” สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งลงทุนในบริษัทที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดีในระยะยาวหรือบริษัทที่มีบทบาททางด้านเศรษฐกิจหรือประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในดัชนีมาตรฐานของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (MSCI Emerging Markets Standard Index) อาทิ จีน ไต้หวัน เกาหลี บราซิล อินเดีย แอฟริกา รัสเซีย เม็กซิโก โปแลนด์ อินโดนีเซีย เป็นต้น

ทั้งนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ยังคงมีมุมมองเชิงบวกสำหรับการลงทุนทั้ง 2 ตลาดอยู่ โดยมองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่งถึงแม้ตลาดหุ้นสหรัฐจะได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ต่ำกว่าคาด เป็นผลมาจากปัจจัยระยะสั้นที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงความกังวลจากนักลงทุนต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะทยอยปรับตัวดีขึ้นซึ่งเอื้อให้บริษัทจดทะเบียนสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นในอนาคต

Back to top button