DDD ดิ่ง 3% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ฟากโบรกฯแนะช้อน ลุ้นไตรมาส 4 กำไรพลิกฟื้น

DDD ดิ่ง 3% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ฟากโบรกฯแนะช้อน ลุ้นไตรมาส 4 กำไรพลิกฟื้น โดยล่าสุด ณ เวลา 14.42 น. อยู่ที่ระดับ 39.25 บาท ปรับตัวลดลง 1.25 บาท หรือ 3.09% สูงสุดที่ 41.25 บาท ต่ำสุดที่ 39 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 38.23 ล้านบาท โดยราคาหุ้นในวันนี้ทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD ล่าสุด ณ เวลา 14.42 น. อยู่ที่ระดับ 39.25 บาท ปรับตัวลดลง 1.25 บาท หรือ 3.09% สูงสุดที่ 41.25 บาท ต่ำสุดที่ 39 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 38.23 ล้านบาท โดยราคาหุ้นในวันนี้ทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ด้าน บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ก.ย.61) แนะนำ”ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 55.50 บาท โดยปรับลดประมาณการกำไรลงสะท้อนถึงยอดขายที่ต่ำกว่าคาด ประเมินว่ากำไรไตรมาส 3/61 ยังชะลอ แต่จะค่อย ๆ ฟื้นตัวในไตรมาส 4/61 เป็นต้นไป

จากการทำกิจกรรมการตลาดและออกสินค้าใหม่ในประเทศไทย การหาผู้จัดจำหน่ายรายใหม่ในจีน และการขยายไปตลาดฟิลิปปินส์ เชื่อว่าตลาด Skincare ยังมีแนวโน้มเติบโตดี แบรนด์ Snailwhite มีความแข็งแกร่งและยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก

สำหรับการปรับประมาณการกำไรปี 2561-2562 ลง 18% และ 20% ตามลำดับ สะท้อนถึงยอดขายต่ำกว่าคาด ยอดขายในประเทศชะลอตัวจากการขายทางร้านค้าแบบดั้งเดิมลดลง เนื่องจากกรณีเมจิกสกินซึ่งทำให้แหล่งขายส่ง skincare ขนาดใหญ่ (ตลาดใหม่ดอนเมือง) ถูกปิด และบริษัทเปลี่ยนผู้จัดจำหน่ายเป็นซิโนแปซิฟิกซึ่งยังกระจายสินค้าได้ไม่ทั่วถึง อีกทั้งการส่งออกไปจีนชะลอลง เนื่องจากต้องระบายสินค้าเดิมที่จีนออกไปก่อน และความล่าช้าของการปรับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับ อย.จีน

อย่างไรก็ตาม DDD จะทำกิจกรรมการตลาดภายในพื้นที่ขายมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังปี 2561 เพื่อกระตุ้นยอดขายของร้านค้าแบบดั้งเดิม ขณะที่การขายผ่านช่องทาง Modern trade ยังเติบโตดี ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าแบบซอง (Sachet) ซึ่งจะมีการออกสินค้าใหม่ 2 SKU ในครึ่งปีหลังปี 2561 ส่วนการขายใน King Power ได้รับการตอบรับดี นอกจากนั้น DDD จะออกผลิตภัณฑ์ผิวหน้าแบรนด์ใหม่ในไตรมาส 4/61 เน้นกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างจาก Snailwhite โดยจะขายผ่านทาง Social media ซึ่งมีมูลค่าตลาดกว่า 5 พันล้านบาท

ด้านการส่งออกคาดจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/61 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างทยอยขายสินค้าในกล่องแบบเดิมออกไป และหาผู้จัดจำหน่ายรายใหม่ที่มีความชำนาญในการขายในปริมาณมากในจีน อีกทั้งขยายตลาดไปฟิลิปปินส์ โดยตั้งบริษัทร่วมทุนกับ คริส อากีโน (ลูกสาวอดีตประธานาธิบดี คอราซอน อากีโน) ซึ่งมีชื่อเสียงในวงการสื่อฟิลิปปินส์และเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ต่างประเทศหลายแบรนด์ มีเป้ายอดขาย 100 ล้านบาทในช่วงเดือน ส.ค. 2561 – ธ.ค. 2562 เชื่อว่ายอดขายมีโอกาสเติบโตจากการที่ฟิลิปปินส์มีประชากร 100 ล้านคน และคริสอากีโน มีผู้ติดตามทาง Social media จำนวนมาก โดยมีความเสี่ยง ได้แก่ ส่งออกไม่เป็นไปตามเป้า, นักท่องเที่ยวจีนลดลง, ค่าใช้จ่ายสูงกว่าคาด

Back to top button