พาราสาวะถี

รับลูกกันดีเหลือเกินเริ่มตั้งแต่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้สัมภาษณ์นักข่าวปม ทักษิณ ชินวัตร เคลื่อนไหวในต่างประเทศและมีอดีตส.ส.เพื่อไทยเดินทางไปพบ เข้าข่ายครอบงำและจะนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นไปตามสูตรรองนายกฯด้านความมั่นคงโยนให้เป็นเรื่องของกกต. แค่ข้ามวัน พันตำรวจเอกจรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต.ก็รับไม้ต่อพร้อมขู่ฟ่อด ๆ เรื่องการยุบพรรคนายใหญ่ทันที


อรชุน

รับลูกกันดีเหลือเกินเริ่มตั้งแต่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้สัมภาษณ์นักข่าวปม ทักษิณ ชินวัตร เคลื่อนไหวในต่างประเทศและมีอดีตส.ส.เพื่อไทยเดินทางไปพบ เข้าข่ายครอบงำและจะนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นไปตามสูตรรองนายกฯด้านความมั่นคงโยนให้เป็นเรื่องของกกต. แค่ข้ามวัน พันตำรวจเอกจรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต.ก็รับไม้ต่อพร้อมขู่ฟ่อด ๆ เรื่องการยุบพรรคนายใหญ่ทันที

แม้จะเป็นการพูดในเชิงหลักการทั่วไป แต่พิจารณาท่าทีของเลขาธิการกกต.แล้วทำให้ฝ่ายที่ถูกตรวจสอบมองว่าองค์กรอิสระแห่งนี้น่าจะถูกครอบงำจากผู้มีอำนาจมากกว่า เพราะในถ้อยแถลงยังระบุถึงหลักฐานที่เป็นคลิปวิดีโอรวมถึงข่าวและความเห็น รวมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่เดินทางไปพบทักษิณด้วย น่าสนใจต่อคำวินิจฉัยที่จะออกมาว่าเป็นอย่างไร

ไม่เพียงเท่านั้น ฝ่ายเสี้ยมอย่างประชาธิปัตย์ก็ได้ที โดยมี วิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมาย ยกเอามาตราที่เกี่ยวข้องในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมากระทุ้งให้กกต.ดำเนินการอย่างเคร่งครัดโดยทันที โดยพยายามชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ทักษิณทำและคนเพื่อไทยเคลื่อนไหวว่าเป็นความผิดแน่นอน และกกต.ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคเท่านั้น

พอจะเข้าใจได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พลพรรคของเพื่อไทยจะดาหน้าออกมาตอบโต้ ไล่ตั้งแต่ พลตำรวจโทวิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคไปจนถึงกระบอกเสียงอย่าง อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน คนแดนไกลไม่ได้ครอบงำ ชี้นำพรรคแต่อย่างใด พอเข้าใจได้ว่านี่เป็นภาคบังคับที่จะต้องแสดงบทบาทกันอย่างนี้ แต่มีคนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะบรรดากองเชียร์พรรคนายใหญ่ที่ไม่เข้าใจ

รู้กันอยู่แล้วสิ่งที่ทำกันไปปลายทางจะเป็นอย่างไร แต่ทำไมจึงเดินทางกันไปให้เอิกเกริก เป็นข่าวใหญ่โต นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องปกติแน่ สำหรับคนที่ถูกกระทำมาซ้ำซาก หากจะมองแบบผิวเผินนี่เป็นส่วนหนึ่งของเกมที่นายใหญ่เคยใช้ คือยิ่งถูกกระทำมากเท่าไหร่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยจะแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนสงสาร เพิ่มคะแนนนิยมให้กับพรรคตัวเองได้เป็นกอบเป็นกำอย่างแน่นอน

ความจริงก็ถูกส่วนหนึ่งแต่นั่นเป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่นายใหญ่หวังผล เพราะความที่รู้ทั้งรู้แต่ยังทำและไม่ปกปิดใด ๆ เป้าหมายใหญ่อยู่ที่ความประสงค์ต้องการให้นานาอารยะประเทศได้เห็น พฤติกรรมการใช้อำนาจของคณะเผด็จการคสช. ต้องไม่ลืมว่าเพื่อไทยคือคู่กรณีโดยตรงของคณะผู้ยึดอำนาจ ดังนั้น ทุกการกระทำที่เกิดขึ้น แม้จะอ้างเรื่องของข้อกฎหมายแต่คนที่ไม่เข้าใจและฝ่ายรังเกียจเผด็จการ ก็จะมองว่านี่เป็นการใช้หลักการกฎหมายมากลั่นแกล้งฝ่ายที่เป็นศัตรูนั่นเอง

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นอกจากจะมีอดีตส.ส.และแกนนำพรรคบินไปพบนายใหญ่เป็นว่าเล่นแล้ว ทักษิณเองก็มีการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศเปิดประเด็นให้เป็นข่าวใหญ่โตด้วยเช่นเดียวกัน อย่างที่เห็นล่าสุดกับบทสัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคของญี่ปุ่น ด้วยการระบุ เมื่อรัฐบาลทหารหมดอำนาจและฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยจะได้ที่นั่งในสภาเกิน 300 ที่นั่ง ตนก็พร้อมจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี

ชัดเจนว่านี่เป็นการยั่วยุ เย้ยหยันเพื่อล่อให้ผู้มีอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำเผด็จการตบะแตก ซึ่งจะต้องติดตามในวันนี้ก่อนการประชุมหรือหลังประชุมครม.ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังจะคงดำรงตนในแบบผู้มีความสุขุมคัมภีรภาพได้เหมือนที่ผ่านมาหรือเปล่า หากไม่ไหลตามเกมยั่วก็จะถือว่าท่านผู้ที่จะสืบทอดอำนาจสอบผ่านเกมการเมืองในเบื้องต้น

อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากความเคลื่อนไหวของนายใหญ่ทำให้มีบางคนเก็บอาการไม่อยู่ได้เหมือนกัน และมีการพลั้งปากพูดหรือบางทีก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเจตนาที่จะประกาศให้รู้กันไปเลยหรือเปล่า กับการที่บิ๊กป้อมยอมรับว่า สิ่งที่ทักษิณพูดนั้นเกี่ยวข้องและกระทบกับทุกพรรคการเมืองรวมถึงพรรคของรัฐบาล คำถามคือรัฐบาลนี้มีพรรคการเมืองแล้วใช่ไหม

อาจจะเป็นคำถามที่ดูเดียงสา เพราะรู้กันอยู่ว่าพลังประชารัฐก็คือพรรคของรัฐบาลหรือคสช.นั่นแหละ แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครพูดชัดขนาดนี้ เนื่องจากต้องรอพิธีกรรมอีกหลายประการด่านสุดท้ายคือการประกาศตัวของบิ๊กตู่ที่จะเข้าร่วมงานกับพรรคการเมืองนี้ หรือไม่ก็คือรอให้ทางพรรคประกาศว่าจะเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตที่พรรคจะเสนอชื่อให้เป็นนายกฯคนต่อไป

การเมืองมาถึงนาทีนี้แล้ว คงไม่ต้องแทงกั๊กอะไรกันอีก เหมือนอย่างที่พรรคเก่าแก่ที่ 2 ใน 3 ของคนที่เสนอตัวแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าทั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ อลงกรณ์ พลบุตร พูดตรงกันถึงการรับไม่รับการสืบทอดอำนาจของผู้นำเผด็จการ โดยทั้งสองคนมองตรงกันว่าหากพลเอกประยุทธ์ได้รับการเสนอชื่อโดยพรรคการเมืองก็ถือว่ามาตามระบบ ไม่ใช่นายกฯคนนอกถือเป็นเรื่องไม่น่าเกลียด

ท่าทีเช่นนี้ยิ่งทำให้นึกไปถึงสิ่งที่คนของพรรคนายใหญ่โวยว่า การเดินสายหาคะแนนเสียงของผู้ชิงเก้าอี้ผู้นำพรรคเก่าแก่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือแฝงไปด้วยการหาเสียงให้พรรคกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ก็น่าจะพอมองเห็นกันแล้วว่า โอกาสในการร่วมสังฆกรรมกับผู้นำเผด็จการที่จะสืบทอดอำนาจของพรรคการเมืองแห่งนี้มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด

การมองว่านายกฯคนนอกคือการสืบทอดอำนาจ แต่ถ้าได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองแล้วไม่ใช่ของคนพรรคเก่าแก่ เลยทำให้ย้อนภาพกลับไปเมื่อคราวการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ที่พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหล่อใหญ่ถึงไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะได้ตำแหน่งทั้งที่พรรคของตัวเองไม่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง จนลบความสง่างามของการก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศไปเสียฉิบ

นี่แค่เริ่มโหมโรงการเมืองว่าด้วยการเตรียมพร้อมเลือกตั้ง ก็เริ่มจะเห็นอะไรกันบ้างแล้ว ดังนั้น เมื่อเข้าสู่โหมดที่มีการปลดล็อกกันแล้ว ก็น่าจะเห็นอะไรดี ๆ มากกว่านี้อีก โดยเฉพาะการจับขั้วกันทางการเมือง และไม่น่าจะหลุดไปจากที่หลายฝ่ายบอกไว้ก่อนหน้านี้ เลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นไม่ใช่พรรคนายใหญ่กับพรรคเก่าแก่อีกแล้ว แต่จะเป็นการต่อสู้กันระหว่างพรรคฝ่ายประชาธิปไตยกับเผด็จการ โดยที่ฝ่ายหลังจะพยายามทุกวิถีทางที่จะฟอกตัวเองให้คนเห็นว่าเป็นผู้รักประชาธิปไตย(แต่ปาก)จริง ๆ

Back to top button