หุ้นอลเวง !

*หลายคนถาม “โมนิก้า” มีความคิดเห็นต่อการเคลื่อนตัวของดัชนีอย่างไร ? และมองภาพการลงทุนต่อจากนี้จะสดใสเพียงใด ? หรือแม้กระทั่งหุ้นตัวไหนน่าเล่นสุดในช่วงที่เหลือของปี ? เดี๊ยนบอกได้ทันทีว่า มันเป็นเรื่องที่ตอบยากมาก ๆ ในช่วงที่หลายอย่างชะลอตัว และการเมืองยังมีลักษณะขมุกขมัว จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ทุกคนได้กำไรจากการขึ้น ๆ ลง ๆ ของตลาดหุ้นไทยในยามนี้นะคะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*หลายคนถาม “โมนิก้า” มีความคิดเห็นต่อการเคลื่อนตัวของดัชนีอย่างไร ? และมองภาพการลงทุนต่อจากนี้จะสดใสเพียงใด ? หรือแม้กระทั่งหุ้นตัวไหนน่าเล่นสุดในช่วงที่เหลือของปี ? เดี๊ยนบอกได้ทันทีว่า มันเป็นเรื่องที่ตอบยากมาก ๆ ในช่วงที่หลายอย่างชะลอตัว  และการเมืองยังมีลักษณะขมุกขมัว จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ทุกคนได้กำไรจากการขึ้น ๆ ลง ๆ ของตลาดหุ้นไทยในยามนี้นะคะ

*ประเด็นนี้ทำให้เดี๊ยนมองภาพการลงทุนในตลาดหุ้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ด้วยกันคือ อิทธิพลของตลาดหุ้นต่างประเทศ รองลงมาเป็นผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปี 61 และสุดท้ายอยู่ที่ภาวะเศรษฐกิจในปี 62 จะดีขึ้นจริงเหมือนที่พยายามโฆษณาชวนเชื่อหรือเปล่า ? ซึ่งทั้งหมดเป็นผลกระทบหลักที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยโดยตรงนะจะบอกให้

*ด้วยเหตุนี้อย่าได้แปลกใจที่ดัชนีขึ้นแรงอย่างไม่น่าเชื่อ และทรุดหนักโดยไม่บอกกล่าวให้รู้ล่วงหน้า เพราะเอาเข้าจริง ๆ มันคือเกมเสี่ยงทายที่ผู้เล่นต้องอ่านทางให้ออก แถมวานนี้ดัชนีทิ้งตัวลงมาปิดที่ 1,670.58 จุด ลบไป 11.26 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.80 หมื่นล้านบาท ยิ่งทำให้เดี๊ยนมองแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,680 จุดเป็นจุดแรกที่ดัชนีจะต้องขึ้นไปสร้างฐานให้ได้เสียก่อน ต่อจากนั้นค่อยมองไปถึงการทดสอบแนวต้านบริเวณ 1,700 จุดพะยะค่ะ

*เหมือนกับกรณีของค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ ADVANC โดนถล่มทุกครั้งที่ผงกหัวขึ้นไปแตะระดับ 210 บาท พร้อมกับปรากฏข่าวลบเกี่ยวกับผลงานถดถอยเป็นประจำ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผู้เล่นหลักต้องชิงขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงออกมาก่อน ยิ่งผลงานในไตรมาส 3 เริ่มออกอาการเป๋ให้เห็น ยิ่งต้องใช้กลยุทธ์ถอยไปซื้อราคาต่ำเต็มตัว วานนี้ถึงเห็นหุ้นลงมากองอยู่ที่ 184.50 บาท ลบไป 4.50 บาท หรือลงไป 2.40% ด้วยมูลค่า 2.60 พันล้านบาท เดี๊ยนบอกได้แค่ว่า มันเป็นจุดเด้งกลับเดียวกับครั้งก่อนเจ้าค่ะ

*ส่วนในรายของพี่เบิ้ม PTT ยังคงมีอาการเมาหมัดให้เห็นเป็นระยะ ก่อนจะลงเอยที่ระดับ 49.25 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 1% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.30 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นช็อตที่มีผลกระทบโดยตรงกับราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงต่อเนื่อง จนมีสิทธิ์ลงไปยืนที่ระดับ 70 เหรียญต่อบาร์เรล และถ้ามองราคาน้ำมันดิบย้อนกลับไปยังต้นเดือนก่อนอยู่ที่ 85 เหรียญต่อบาร์เรล ก็จะเข้าใจทันทีว่า แรงกดดันส่งถึงหุ้นตัวนี้โดยตรงนะจ๊ะ

*ตรงข้ามกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับหุ้นปลากระป๋องออนไลน์ TU กระชากสวนภาวะตลาดหุ้นขึ้นมาทั้งที่ผลงานในไตรมาส 3 ลดฮวบเกือบ 25% “โมนิก้า” มองเป็นการเล่นที่ฝืนธรรมชาติมากเกินไปหน่อย ยิ่งเห็นราคาหุ้นค่อย ๆ วิ่งจากระดับ 15.50 บาทขึ้นมาวันละนิดวันละหน่อย ยิ่งรู้สึกฉงนใจมากขึ้นเมื่อเห็นหุ้นขึ้นมายืนอยู่ที่ 17.50 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 4.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 692 ล้านบาทนะคะ

*ผิดกับการทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงของหุ้น GCAP ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง เพราะการขึ้นของหุ้นตัวนี้เป็นมันนี่เกมชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ยิ่งวันนี้จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติแผนเพิ่มทุนแบบ RO 100 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2 บาท ขณะที่วานนี้ดันหุ้นขึ้นมาปิดที่ระดับ 3.58 บาท บวกไป 0.38 บาท หรือขึ้นไป 11.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 120 ล้านบาท เดี๊ยนพูดได้ทันทีว่า ขึ้นแบบเฉพาะกิจนะจะบอกให้

*คล้ายกับกรณีของ OCEAN วิ่งขึ้นมาท้าทายอำนาจของ ตลท. กับ ก.ล.ต. อย่างหนัก เพราะบรรดาขาปั่นน่องเหล็กก๊วนนี้ไม่ได้ให้น้ำหนักกับฝ่ายตรวจสอบของหน่วยงานดังกล่าว วานนี้ถึงเป็นอีกครั้งที่เห็นหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 5.90 บาท บวกไป 0.45 บาท หรือขึ้นไป 8.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 85 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นช็อตของความชอบส่วนบุคคล ไม่มีสิทธิ์ไปห้ามใครทั้งสิ้น ขนาดวันนี้เทรดโดยไม่มี P/E บวกกับค่า P/BV สูงถึง 32 เท่า มันเกินบรรยายเจ้าค่ะ

*หากมองภาพความเสี่ยงดังกล่าวไม่ออก “โมนิก้า” ขอแนะนำให้มองหุ้นน้องใหม่พาเที่ยวดอยแบบไม่ทันตั้งตัวอย่าง OSP เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจนักเล่นพวกอ่อนหัดให้รู้ว่า เวทีนี้เจ้าที่แรงของจริง..ไม่เก๋าจริงอย่าสะเออะ เพราะก๊วนที่เข้ามาเล่นเป็นพวกชอบจัดหนักคนแปลกหน้า วานนี้ถึงเห็นหุ้นไถลหลุด IPO 25 บาท ลงมากองอยู่ที่ 24 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 5.90% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,750 พันล้านบาท เดี๊ยนบอกได้แค่ว่า โหดกว่านี้ยังมีอีกนะคะ

*เม้าท์ถึงเรื่องโหดลากเลือดขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” คงต้องหันมามองหุ้น U เพื่อบอกเล่าประสบการณ์ของคนติดหุ้นเป็นเวลานานให้รู้ว่า หลังจากมีการรวมพาร์เป็น 100 บาท ต่อจากนั้นจะมีการลดพาร์เหลือ 3.20 บาท เพื่อทำการล้างขาดทุนสะสมจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะประกาศจ่ายปันผลเป็นของปลอบใจในอนาคตนั้น มันใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4-5 ปีเพื่อทำให้คนที่ติดหุ้นได้ออกของ เดี๊ยนถึงอยากให้มองการลงมาปิดที่ 3.12 บาท ลบไป 0.88 บาท หรือลงไป 22% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 268 ล้านบาท มันเป็นเหตุการณ์แค่ระยะสั้น ๆ เท่านั้นพะยะค่ะ

Back to top button