BGRIM รายได้พุ่ง หนุนกำไรไตรมาส 3/61 โต 40% มาที่ 795 ลบ.

BGRIM รายได้พุ่ง หนุนกำไรไตรมาส 3/61 โต 40% มาที่ 795 ลบ. จากปีก่อนกำไร 568.75 ลบ. ขณะที่งวด 9 เดือน กำไรเพิ่มขึ้น 3.83% มาที่ 1.73 พันลบ. จากปีก่อนกำไร 1.67 พันลบ.


บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 (รวมบริษัทย่อย) ดังนี้

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีผลกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้จากการขายและการให้บริการเพิ่มขึ้น 12.4% จากปีก่อน และ 10.1% จากไตรมาสก่อน (26,652 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 / 9,691 ล้านบาท สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2561) โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า ABPR3 และ ABPR4 ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ (ระยอง) ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 ก.พ. และ 1 มิ.ย. 2561 ตามลำดับ ทำให้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ทั้งสองโครงการเปิดดำเนินการเต็มจำนวน 3 เดือน และจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าเดิม

อีกทั้ง EBITDA เพิ่มขึ้น 5.6% จากปีก่อน และ 1.7% จากไตรมาสก่อน (6,997 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 / 2,410 ล้านบาท สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2561) เนื่องจากการเปิดดำเนินการของโรงไฟฟ้าโรงใหม่

ส่วนกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 12.8% จากปีก่อน จาก2,346 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2560 เป็น 2,646 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้และการปรับลดลงของต้นทุนทางการเงิน จากการออกหุ้นกู้เพื่อช าระหนี้เงินกู้โครงการ(Refinancing) ในเดือน เม.ย. 2560 และการจ่ายคืนหนี้เงินกู้ของบริษัทในเดือน ก.ย. 2560

ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. เพิ่มขึ้น 16.2% จากปีก่อน และ 10.3% จากไตรมาสก่อน (17,012 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 / 6,283 ล้านบาท สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2561) ขณะที่ปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ กฟผ. เพิ่มขึ้น 12.2% จากปีก่อน และ 7.0% จากไตรมาสก่อน (5,670 กิกะวัตต์-ชั่วโมง สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 / 2,027 กิกะวัตต์-ชั่วโมง สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี2561) โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า ABPR3 และ ABPR4 ที่กล่าวมาข้างต้น

ด้านราคาขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 3.4% จากปีก่อนและ 3.0% จากไตรมาสก่อน (3.00 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี2561 / 3.10 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี2561) เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Payment) ซึ่งอ้างอิงตามราคาก๊าซธรรมชาติ

ส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทยรำยได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้ำอุตสาหกรรมในประเทศไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 จากปีก่อน และ 5.3%
จากไตรมาสก่อน (7,525 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 /2,603 ล้านบาท สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2561) ปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 3.4% จากปีก่อน จาก 2,219 กิกะวัตต์-ชั่วโมง สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2560 เป็น 2,295 กิกะวัตต์-ชั่วโมง สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของลูกค้าใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ (ระยอง) และการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมรายเดิมในนิคมอุตสาหกรรม
อมตะซิตี้ (ชลบุรี), นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมเหมราช

สำหรับปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 4.2% จากไตรมาสก่อน จาก 757 กิกะวัตต์-ชั่วโมง สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2561 เป็น 789 กิกะวัตต์-ชั่วโมง สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของลูกค้าใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ (ระยอง) และการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ไฟฟ้าของ
ลูกค้าอุตสาหกรรมรายเดิมในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ (ชลบุรี), นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ (ระยอง), นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมเหมราช

ขณะที่ราคาขายไฟฟ้าต่อหน่วยแก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 3.8% จากปีก่อน และ 0.9% จากไตรมาสก่อน 3.28 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง สำหรับงวด 9 เดือน
แรกของปี 2561 และ 3.30 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2561) ซึ่งเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของค่า Ft ที่ประกาศโดย กกพ.

นอกจากนี้ รายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าลาวในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเพิ่มขึ้น 42.4% จากปีก่อน และลดลง 25.6% จากไตรมาสก่อน (84 ล้านบาท สำหรับงวด9 เดือนแรกของปี 2561 / 32 ล้านบาท สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี2561) โดยมีสาเหตุหลักมาจากการหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาสที่ 3 ของปี 2561

อีกทั้ง รายได้อื่นจากการขายและกำรให้บริกำรเพิ่มขึ้น 20.3% จากไตรมาสก่อน จาก 148 ล้านบาท สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2561 เป็น 178 ล้านบาท สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการบันทึกรายได้จากการก่อสร้างภายใต้ข้อตกลงสัมปทาน ซึ่งจะรับรู้ตามความคืบหน้าในการก่อสร้างของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ Nam Che ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

Back to top button