หุ้นแกร่งชนะดัชนีเดือน ต.ค. 61

ข่าวหุ้นธุรกิจ ทำการสำรวจความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงเดือนตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา


เส้นทางนักลงทุน

ข่าวหุ้นธุรกิจ ทำการสำรวจความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงเดือนตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา

พบว่า ราคาหุ้นบนกระดานปรับตัวขึ้นมีจำนวนค่อนข้างน้อย…และมักเป็นหุ้นไม่ค่อยมีสภาพคล่องที่ปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามก็มีหุ้นพื้นฐานดี สภาพคล่องสูง และนักลงทุนให้ความสนใจตลอดมา อย่าง MTC, SEAFCO, BH, EA และ GULF ราคาหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

โดยราคาหุ้นสามารถชนะดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เป็นขาลง….แกร่งกว่าตลาดฯ (ตลอดทั้งเดือนตุลาคม ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 87 จุด หรือลงไป 4.86%)

สำหรับหุ้นที่ราคาชนะดัชนีตลาดฯ คือ 1. บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC  โดยวันที่  28 ก.ย.61 ราคาหุ้นปิด 48.25 บาท ขณะที่วันที่ 31 ต.ค.31 ราคาหุ้นปิด 52.25 บาท บวกไป 4 บาท หรือขึ้นไป 8.29%

  1. บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO โดยวันที่ 28 ก.ย.61 ราคาหุ้นปิด 8.85 บาท ขณะที่วันที่ 31 ต.ค.31 ราคาหุ้นปิด 9.55 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 7.91%
  2. บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH โดยวันที่ 28 ก.ย.61 ราคาหุ้นปิด 186 บาท ขณะที่วันที่ 31 ต.ค.31 ราคาหุ้นปิด 193 บาท บวกไป 7 บาท หรือขึ้นไป 3.76%
  3. บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA โดยวันที่ 28 ก.ย.61 ราคาหุ้นปิด 48.25 บาท ขณะที่วันที่ 31 ต.ค.61 ราคาหุ้นปิด 49.50 บาท บวกไป 1.25 บาท หรือขึ้นไป 2.59%
  4. บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF โดยวันที่ 28 ก.ย.61 ราคาหุ้นปิด 76.25บาท ขณะที่วันที่ 31 ต.ค.61 ราคาหุ้นปิด 78 บาท บวกไป 1.75 บาท หรือขึ้นไป 2.30%

นอกเหนือจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแกร่งช่วงเดือนตุลาคมแล้ว ทั้ง 5 บริษัทยังมีปัจจัยบวกช่วยให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในอนาคต….

บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ถือยังเป็นหุ้น Growth Stock เล็งกำไรไตรมาส 3/61 ทำ New High ราว 973-993 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและงวดปีก่อน จากสินเชื่อที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2561 คาดว่าสินเชื่อของ MTC จะเติบโตมากกว่า 50% และปี 2562 คาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 35% ขณะที่ตัวเลข NPL ค่อนข้างต่ำแค่ 1.4% พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2561 อยู่ในช่วง 3,600-3,800 ล้านบาท เติบโตจากระดับ 2,500 ล้านบาทในปี 2560

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์แต่ละโบรกฯ แนะนำ “ซื้อ” บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมาย 60 บาท, บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ราคาเป้าหมาย 60 บาท, บล.เอเชีย เวลท์ ให้ราคาเป้าหมาย  57 บาท, บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมาย 58.50 บาท, บล.เอเอสแอล ให้ราคาเป้าหมาย  56 บาท และ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ให้ราคาเป้าหมาย 51  บาท

บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO แนวโน้มธุรกิจสดใส เนื่องจากมี Backlog เต็มมือ และยังจะมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ และโครงการก่อสร้างในภาคเอกชนเพิ่มเข้ามาอีก พร้มกับโมเมนตัมการรับรู้รายได้เร่งตัวขึ้นดีกว่าคาด ซึ่งยังเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มรับเหมางานเสาเข็มและฐานราก

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์แต่ละโบรกฯ แนะนำ “ซื้อ” บล.เคจีไอ ให้ราคาเป้าหมาย 12 บาท, บล.เคที ซีมิโก้ ให้ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท, บล.บัวหลวง ให้ราคาเป้าหมาย 9.90 บาท, บล.เออีซี ให้ราคาเป้าหมาย 11.60 บาท และ บล.ทิสโก้ ให้ราคาเป้าหมาย 11.80 บาท

บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH คาดว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 2561 จากการที่บริษัทยังรักษาระดับผู้ป่วยที่มี intensity สูงเอาไว้ได้ นอกจากนี้ยังคาดว่าสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติจะยังทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 64% ของรายได้รวม ในขณะที่สัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยอยู่ที่ 36% อีกทั้งยังคงประมาณการกำไรปี 2561-2562  ไว้ที่ 4.36 พันล้านบาท และ 4.74 พันล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งจาก 1) ผู้ป่วยมี intensity สูง 2) คุมค่าใช้จ่าย SG&A ได้ดี และ 3) สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์แนะนำ “Outperform” บล.เคจีไอ ให้ราคาเป้าหมาย 236 บาท และ บล.เคที ซีมิโก้  ให้ราคาเป้าหมาย 211 บาท

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA คงรับอานิสงส์จากบริษัทย่อย อย่างบริษัท พลังงานมหานคร จำกัด ลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOA) เรื่อง “โครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า” กับบริษัท อาคเนย์ แอดไวซ์เซอรี่ จำกัด ความร่วมมือครั้งนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น

กล่าวคือ บริษัท อาคเนย์ แอดไวซ์เซอรี่ จำกัด ได้อนุญาตให้ บริษัท พลังงานมหานคร เข้าติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า EA Anywhere ในพื้นที่ของ TCC Group ทั่วประเทศไทยตามความเหมาะสมและศักยภาพของพื้นที่ นับเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่ม EA ได้มีโอกาสร่วมกันพัฒนาธุรกิจและขยายจำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าเพื่อรองรับการให้บริการในอนาคต ถือเป็นอีกก้าวที่สำคัญอย่างยิ่งของ EA Anywhere เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายการติดตั้งสถานีชาร์จ 1,000 สถานีครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ หลังจากที่เราได้เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ปลายปี 2560 เป็นต้นมา

ขณะที่ราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ ราคาหุ้นปัจจุบันได้ปรับตัวขึ้นไปยืนเหนือราคาเป้าหมายของทุกโบรกฯ แล้ว ซึ่งต้องรอการคำนวณราคาเป้าหมายใหม่ต่อไป แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกที่สนับสนุนต่อเนื่องยังช่วยขับเคลื่อนให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ประมาณการปี 2561 กำไรปกติที่ 3.2 พันล้านบาท ทั้งนี้แม้ประมาณการ 9 เดือนแรกคิดเป็น 73% ของประมาณการทั้งปีและไตรมาส 4/2561 เป็น Low season อย่างไรก็ตาม GULF มีโรงไฟฟ้า GBP ขนาดกำลังการผลิตตามสัดส่วน 67 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ COD เข้ามาในช่วงต้นไตรมาส 4/2561 คาดจะไม่ทำให้เกิด Downside ต่อประมาณกำไรปกติในปี 2561 อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ระยะยาวผลประกอบการยังอยู่ในวัฏจักรขาขึ้น จากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ทยอย COD อีก 4,090 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2562-2567 หนุนกำไรปกติระยะยาวเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี

ขณะเดียวกันทางนักวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมาย 80 บาท และ บล.บัวหลวง ให้ราคาเป้าหมาย 84 บาท

หุ้นที่นำเสนถือว่าเป็นหุ้นที่ยังแข็งกว่าตลาดฯ และยังมีโอกาสอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่องจากปัจจัยบวกหนุน พร้อมยังมีอัพไซด์เหลือให้เข้าไปลงทุน !!!

Back to top button