พาราสาวะถี

เห็นภาพความชื่นมื่นของพรรคพลังประชารัฐในวันที่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ สมศักดิ์ เทพสุทิน พากลุ่มสามมิตรเข้าไปสมัครสมาชิกแล้ว ถือเป็นการการันตีความหนาของคณะเผด็จการได้เป็นอย่างดี จากคนที่ก่อนหน้านั้นบอกว่าไม่สนใจการเมือง ไม่เล่นการเมือง แต่วันนี้ในฐานะเลขาธิการพรรคของคสช. สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ถึงกับกล้าประกาศกร้าวจะกวาดที่นั่งส.ส.ถึง 350 คน


 

อรชุน

เห็นภาพความชื่นมื่นของพรรคพลังประชารัฐในวันที่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ สมศักดิ์ เทพสุทิน พากลุ่มสามมิตรเข้าไปสมัครสมาชิกแล้ว ถือเป็นการการันตีความหนาของคณะเผด็จการได้เป็นอย่างดี จากคนที่ก่อนหน้านั้นบอกว่าไม่สนใจการเมือง ไม่เล่นการเมือง แต่วันนี้ในฐานะเลขาธิการพรรคของคสช. สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ถึงกับกล้าประกาศกร้าวจะกวาดที่นั่งส.ส.ถึง 350 คน

โอ้แม่เจ้า! นั่นหมายความว่าเขาตั้งเป้าที่จะชนะการเลือกตั้งในทุกเขตเลือกตั้งเลยใช่ไหม เพราะถ้าหวังกำชัยในระบบเขตเลือกตั้งด้วยเสียงจำนวนมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อก็จะลดน้อยลงไปเท่านั้น หรือสนธิรัตน์อยู่ในอารามดีใจลืมตัวไปนับรวมเอาส.ว.ลากตั้ง 250 คนเข้าไปจึงได้ตัวเลขดังกล่าวออกมา (ฮา)

ไม่เพียงแต่ความฮึกเหิมที่ถูกปลุกด้วยรัฐมนตรีในรัฐบาลเผด็จการที่สวมหัวโขนนั่งถ่างขาบริหารพรรคการเมืองด้วยเท่านั้น แม้แต่สุริยะก็ยังเอากับเขาด้วย ประกาศลั่นพลังประชารัฐจะยิ่งใหญ่กว่าไทยรักไทยในอดีต ช่างกล้าและไม่อายปาก เข้าใจว่าตัวเองมีส่วนร่วมกับความสำเร็จของ ทักษิณ ชินวัตร แต่อย่าลืมความแตกต่างในการกำเนิดของสองพรรคการเมือง

ไทยรักไทยเวลานั้น ก่อร่างสร้างขึ้นในยุคที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลสมัยชวน 2 ซึ่งหมายความว่าเป็นพรรคที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคนานัปการ แต่ก็สามารถคว้าชัยชนะได้ถล่มทลาย สง่างาม สมศักดิ์ศรี ขณะที่พรรคที่สุริยะเอ่ยถึง ตั้งขึ้นโดยรัฐมนตรีในคณะเผด็จการเพื่อการสืบทอดอำนาจ พร้อม ๆ กับการมัดมือมัดเท้าพรรคคู่แข่งไม่ให้ขยับตัวจนถึงเวลานี้

ไม่เพียงเท่านั้น อย่างที่ สมศักดิ์แสดงความห้าวหาญตามด้วยอีกคนว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบเพื่อพวกเรา” คนทั่วไปก็มองแบบที่สมศักดิ์มองนั่นแหละ เพียงแต่ต่างจากที่สมศักดิ์เห็น เพราะจากสิ่งที่ประชาชนมองก็คือ การออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อการสร้างความชอบธรรมให้กับเผด็จการเท่านั้น หาใช่ช่องทางอันงดงามตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยไม่

ต้องเข้าใจในความหมายคำว่านักการเมืองที่ยึดมั่นอุดมการณ์กับนักการเมืองที่เดินด้วยจังหวะก้าวอันเต็มไปด้วยผลประโยชน์ ความจริงมันไม่ใช่รัฐธรรมนูญเท่านั้นที่เอื้อประโยชน์ให้พวกเผด็จการอย่างที่สมศักดิ์ว่า แม้กระทั่งกฎหมายประกอบต่าง ๆ ก็ช่วยสนับสนุนเต็มที่ รวมไปถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติชัดเจน ชัดขนาดไหนกลุ่มสามมิตรทำให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว

ฤดูผสมพันธุ์ทางการเมืองยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากคำสั่งหัวหน้าคสช.ล่าสุดเรื่องการขยายเวลาแบ่งเขตเลือกตั้งของกกต.และการสรรหาผู้สมัครของพรรคการเมือง การเลื่อนเวลาให้สรรหาผู้สมัครไปได้ถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนใจด้วยข้อเสนออันยากปฏิเสธหรือแรงกดดันทางกฎหมายที่ทำให้ต้องยอมจำนน

งานประเภทไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลถือเป็นความถนัดของพวกเนติบริกรอยู่แล้ว นอกจากจะส่งและรับลูกกันเป็นทอด ๆ แล้ว ยังมีองค์กรอิสระที่ทำตัวไม่เป็นอิสระคอยเป็นลูกคู่ที่จะดำเนินการตามความประสงค์ของผู้ยิ่งใหญ่ ขนาดทำตัวกลายเป็นพวกความจำสั้นลืมกระทั่งว่าตัวเองพูดอะไรไป พอเห็นคำสั่งจากมาตรายาวิเศษเท่านั้น คนเขารู้กันทั้งบางใครกันที่ปลิ้นปล้อน

การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น (วันไหนก็ยังไม่ชัดอีกแล้วครับท่าน) ประชาชนมองกันทะลุปรุโปร่งก่อนหน้าแล้วว่าภาพจะออกมาอย่างไร ยิ่งพวกนักการเมืองแทบจะไม่ต้องพูดถึง ขนาดพรรคที่อ้างหลักการ ยึดมั่นในระบบเดินในระบอบอย่างประชาธิปัตย์ยังระส่ำระสาย ไหลไปเข้าทางปืนของคนกระสันสืบทอดอำนาจกันเป็นกระบุงโกย แล้วอื่น ๆ จะไปเหลืออะไร

ส่วนผู้คุมกติกาอย่างกกต.คนยิ่งห่วงหนัก ถึงขนาดที่ล่าสุด มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตยหรือพีเน็ตต้องออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ดำเนินการแบ่งเขตด้วยความกล้าหาญ ยึดระเบียบ กฎหมาย ไม่ตกอยู่ใต้ใบสั่งรัฐ การเปิดช่องให้ครม.-คสช.ส่งเรื่องร้องเรียนได้เท่ากับอำนาจรัฐแทรกแซงองค์กรอิสระ เช่นเดียวกับการไม่ต้องรับฟังความเห็นย่อมเสี่ยงต่อการแบ่งเขตไม่เป็นธรรม ซ้ำร้ายปลายทางจะนำไปสู่การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งเสียฉิบ

ความจริงประเด็นนี้คนของพรรคเก่าแก่ที่เคยแสดงบทบาทพูดถึงการแทรกแซงองค์กรอิสระตั้งแต่ยุคทักษิณจนมาถึงยุคยิ่งลักษณ์ น่าจะช่วยกันฉายภาพให้ประชาชนเห็นได้ชัดกว่าการสร้างวาทกรรมในยุคประชาธิปไตยได้เป็นไหน ๆ เช่นเดียวกับม็อบชัตดาวน์ประเทศจะมืดบอดมองไม่เห็นกันเช่นนั้นเชียวหรือ โดยเฉพาะกับองค์กรที่ตรวจสอบเรื่องการทุจริต

แต่ลืมไปองค์กรหลังนี่แกนนำม็อบชัตดาวน์คงไปแตะไม่ได้ เพราะตัวเองก็มีชนักปักหลังอยู่ ดังนั้น จึงต้องทำเป็นไปรู้ไม่เห็นอะไรไปเสียอย่างนั้น ทั้งหมดเหล่านี้แค่น้ำจิ้ม แต่ก็ทำให้เห็นแล้วว่าการปฏิรูปที่ถูกหยิบยกกันมาตั้งแต่ม็อบมีเส้นจนมากระทั่งรัฐบาลเผด็จการ มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง (ไปในทางที่ดีขึ้น) หรือไม่ น่าจะเป็นจำพวกสาละวันเตี้ยลงเสียมากกว่า

ภาพของคนที่ไม่ประสงค์จะลงส.ส.เขตและหวังจะได้เป็นส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ในซีกส่วนของพรรคเพื่อไทย เห็นได้ชัดจากการขยับล่าสุดของ จาตุรนต์ ฉายแสง และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ยื่นใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติเรียบร้อย ไม่ต้องมีคำอธิบายใด ๆ และไม่ต้องสงสัยว่าเครือข่ายพวกเดียวกันหรือไม่ ในเมื่อกฎหมายต้องการให้เป็นเช่นนั้น การทำตามกฎหมายจึงไม่ใช่เรื่องผิด เว้นแต่จะมีคนหาเรื่องให้ผิดนั่นก็ตัวใครตัวมันละกัน

Back to top button