คัด 10 หุ้นเด่น โชว์งบฯ Q3 พลิกกำไร ลุ้นผลงาน Q4 โตต่อเนื่อง!

คัด 10 หุ้นเด่น โชว์งบฯ Q3 พลิกกำไร ลุ้นผลงาน Q4 โตต่อเนื่อง!


ผ่านช่วงบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  (ตลท.) รายงานงบการเงินไตรมาส 3/61 ไปแล้ว โดย ผลประกอบการไตรมาส 3/2561 ของ บจ. ทำกำไรรวมได้ 2.56 แสนล้านบาท โดยหากเทียบกับไตรมาส 3/2560 เฉพาะบจ.ที่แจ้งงบแล้วพบว่า กำไรเติบโต 21.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 1.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา

โดยในครั้งนี้ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจรวบรวม บริษัทจดทะเบียนที่มีผลประกอบการพลิกมีกำไร จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนขาดทุนสุทธิ โดยเรียงอันดับจากกำไรสูงที่สุดไปหากำไรน้อยที่สุด โดยครั้งนี้คัดเลือกมาเพียง 10 อันดับที่มีการพลิกกำไรสูงสุด ดังตารางประกอบดังนี้

อันดับที่ 1  บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)  หรือ PTTEP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.61 มีกำไรสุทธิ 1.04 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนขาดทุนสุทธิ 8.68 พันล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกมีกำไรเนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 274 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” PTTEP ราคาเป้าหมาย 160 บาท/หุ้น โดยมองว่าแนวโน้มไตรมาส 4/2561 คาด Core Profit เพิ่มจากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ไตรมาส 4 เป็นช่วงที่มีดีมานด์สูง ปริมาณขายน่าจะแตะ 310kBOED ได้ และค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงลดลงจากไตรมาสก่อน  ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยยังทรงตัว ส่วน Unit Cost จะต่ำลงจากการขายมอนทาราที่มี Unit Cost สูงออกไป

ทั้งนี้จะมีการประกาศผลผู้ชนะประมูลสัมปทานแหล่งบงกช & เอราวัณปลายพ.ย.-ต้นธ.ค.นี้ ปัจจุบัน PTTEP ถือหุ้นแหล่งบงกช 66.66% และถือหุ้นแหล่งเอราวัณ 5% ทางบริษัทได้ยื่นประมูลสัมปทานรอบใหม่ไปทั้งสองแหล่งที่ 100% และ 60% ตามลำดับ โดยอีก 40% ของเอราวัณเป็นพันธมิตรคือ Mubadala Petroleum หลังประกาศผู้ชนะประมูลแล้ว จะส่งให้ครม.พิจารณาอนุมัติในวันที่ 25 ธ.ค.61 และเซ็นสัญญาเดือนก.พ.62 ซึ่งในประมาณการเรามีสมมติฐานให้ PTTEP ชนะการประมูลทั้งสองแหล่งในสัดส่วนที่ถือปัจจุบัน ดังนั้นถ้าชนะประมูลทั้งสองแหล่ง ก็จะเป็น Upside ต่อประมาณการกระแสเงินสดและราคาพื้นฐานของเรา

โดยบริษัท มีความยั่งยืนได้ในระยะยาว บริษัทเชื่อว่าธุรกิจการสำรวจและผลิตน้ำมันยังมีความมั่นคงใน 10 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อยและยังคงสร้างรายได้ & กำไรได้ดีในระยะยาว บริษัทมีเป้าหมายที่จะปรับองค์กรให้มีประสิทธิภาพและมีนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาหลายโครงการเพื่ออนาคต เช่น โครงการ G2P (จากก๊าซธรรมชาติสู่โรงไฟฟ้า) ในเมียนมา, โรโบติค, AI และเทคโนโลยีอื่นๆ

ทั้งนี้ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 160 บาท (DCF) โดยกำไรสุทธิ 9M61 คิดเป็น 67% ของประมาณการทั้งปีนี้ แต่เราคงคาดการณ์กำไรปีนี้เพราะราคาน้ำมันลดลงแรงในไตรมาส 4/2561 ใช้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบที่ 71 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 61-62

 

อันดับที่ 2  บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ BLA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.61 มีกำไรสุทธิ 995.99 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนขาดทุนสุทธิ 260.59 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกมีกำไรเนื่องจาก บริษัทมีการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” BLA ราคาเป้าหมาย 42 บาท/หุ้น โดยกำไรไตรมาส 3/2561 พลิกมากำไรจากปีก่อนแต่ยังลดจากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 996 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุน 261 ล้านบาท เนื่องจากการตั้งสำรองที่ลดลงมาก ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการประกันกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มสูงขึ้น และกำไรจากเงินลงทุนลดน้อยลงก็ตาม แต่ลดลง 18.8% จากไตรมาสก่อนจากสำรองที่เพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้ว่า BLA จะมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นก็ตาม

ขณะที่ไตรมาส 4/2561เป็น High season ของธุรกิจประกัน ทั้งจากการมีโปรโมชั่นของบริษัทประกันเองเพื่อเพิ่มยอดเบี้ย และการซื้อประกันเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้บริโภค อย่างไรก็ตามการแข่งขันในธุรกิจประกันยังสูง ทั้งจากช่องทางตัวแทน รวมไปถึงช่องทางธนาคาร BBL ที่ AIA นั้นจะมีสาขาของ BBL ที่ขายประกันให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

โดยยังคงประมาณการกำไรปี 61-62 ไว้เหมือนเดิมที่ 5.1 และ 5.4 พันล้านบาทตามลำดับ ปรับไปใช้ราคาพื้นฐานปี 62 ที่ 42 บาท มองว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นจะทำให้การตั้งสำรองลดลง และดีต่อผลประกอบการ แนะนำ”ซื้อ”

 

อันดับที่ 3 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.61 มีกำไรสุทธิ 384.57 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนขาดทุนสุทธิ 691.48 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกมีกำไรเนื่องจาก บริษัทมีรายได้จากการให้บริการรวมอยู่ที่ 2.63 หมื่นล้านบาท ในไตรมาส 3/61 เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าในอัตราร้อยละ 7.3 หรือร้อยละ 10.3 หากไม่รวมรายได้จากสัมปทานโทรศัพท์พื้นฐาน การเติบโตนี้ผลักดันจากรายได้ที่เติบโตในอัตราสองหลักเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าของทั้งธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต

ทั้งนี้หากไม่รวมผลกระทบจากธุรกรรมการขายสินทรัพย์ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม (DIF) EBITDA เติบโตร้อยละ 13.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 1.02 หมื่นล้านบาท ด้วยอัตรากำไร EBITDA margin ที่เพิ่มเป็นร้อยละ 38.4 ในไตรมาส 3/61 เทียบกับร้อยละ 36.5 ในไตรมาส 3/60

โดย บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” TRUE ราคาเป้าหมาย 8.40 บาท/หุ้น หลังTRUE ได้ประกาศในการประชุมนักวิเคราะห์ว่า ได้เจรจาสรุปข้อพิพาทกับ CAT เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงไตรมาส 4/2561 โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

ประเด็นด้านเสาสัญญาณ TRUE มีเสาจำนวนประมาณ 7,500 ต้น ที่มีประเด็นกับ CAT ที่หมดสัมปทานในปี 2013 โดยเราเชื่อว่า TRUE จะมีการจ่ายเงินก้อนเพื่อให้สามารถใช้งานเสาต่อได้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเช่าเสาทั้งหมดหรือแค่บางส่วน

และจะมีการขายสิทธิของรายได้ให้กับ DIF ในอนาคต  โดยเชื่อว่า TRUE จะมีการขายสิทธิการเช่าให้ DIF และเช่ากลับแทน หากคิดราคาที่ 1.2 หมื่นบาท/เสา/ช่องสัญญาณ และช่องสัญญาณที่ 2.1 ช่อง/เสา จะทำให้ค่าเช่าอยู่ที่ 1.78 พันล้านบาท และจะทำให้ TRUE ขายเสาให้ DIF ที่ราคา 4.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 2 เท่า PBV และเมื่อรวมกับเงินสดในมือ 3 หมื่นล้านบาท จะทำให้ TRUE มีความพร้อมที่จะประมูลคลื่น 900 MHz

แต่จะเป็นการทยอยขาย : เนื่องด้วยเสาสัญญาณมีมูลค่ามาก แต่การขายให้ DIF ในมูลค่าที่สูงจะทำให้ D/E เกินข้อตกลงได้ ทำให้ TRUE จะต้องผสมระหว่างเสาและสายไฟเบอร์เพื่อรักษาสัดส่วน 30 – 70

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดจะมองกลุ่มสื่อสารในเชิงลบจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น แต่ล่าสุดทั้ง ADVANC และ DTAC ได้เริ่มลดการจัดโปรโมชั่นลง และคาดว่า TRUE จะเริ่มลดในไตรมาส 1/2562 เพื่อเตรียมประมูลคลื่น 900MHz ทำให้เรามองว่า มีเหตุผลลดลงที่กลุ่มจะถูกกดดัน เราแนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 8.40 บาท (SOTP)

 

อันดับที่ 4 บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.61 มีกำไรสุทธิ 317.78 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนขาดทุนสุทธิ 54.20 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกมีกำไรเนื่องจาก บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากรายได้จากการขายบ้านและรับสร้างบ้าน บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ NVD

 

อันดับที่ 5 บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.61 มีกำไรสุทธิ 313.38 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนขาดทุนสุทธิ 74.59 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกมีกำไรเนื่องจาก บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไตรมาส 3/61 ลดลงเป็น 2,362.63 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 2,619.04 ล้านบาท

ทั้งนี้ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ NWR “Fully Valued” ราคาเป้าหมาย 0.89 บาท/หุ้น หลังกำไรสุทธิไตรมาส 3/2561 ฟื้นตัวเป็น 313 ล้านบาท ฟื้นตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ที่ 75 ล้านบาท  แต่มีกำไรพิเศษหนี้สงสัยจะสูญโอนกลับมากถึง 270 ล้านบาท หากไม่นับ กำไรหลักเป็น 44 ล้านบาท ก็ยังฟื้นตัวจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน  แต่รายการที่ช่วยเสริมก็ไม่ใช่กำไรจากการดำเนินงาน เช่น ดอกเบี้ยรับสูงเป็น 38 ล้านบาท และกำไรตามส่วนได้เสียเป็น 54 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกิจการร่วมค้า NWR-SBCC ที่ขุดขนหน้าดินและถ่านหินเหมืองแม่เมาะ ซึ่งปัจจุบันโครงการนี้แล้วเสร็จไปแล้ว

ทั้งนี้หากพิจารณาเฉพาะการดำเนินงาน พบว่า ไตรมาส 3/2561 ยังไม่สดใส คือ อัตรากำไรขั้นต้นเป็นเพียง 6% และสัดส่วนค่าใช้จ่ายขาย-บริหารเทียบรายได้สูงขึ้นเป็น 6.2% ทำให้ยังมีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน (รายได้-ต้นทุน-ค่าใช้จ่ายขาย-บริหาร) เป็น -5 ล้านบาท

โดยคงคำแนะนำ เต็มมูลค่า (Fully Valued) ได้มีการปรับประมาณกำไรสุทธิปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 339 ล้านบาท เพิ่มจากเดิมที่ 225 ล้านบาท ด้านกำไรหลักปีนี้ปรับเพิ่มเป็น 45 ล้านบาท จากเดิมที่ 196 ล้านบาท มีสมมุติฐานรายได้ที่ทำได้สูงขึ้น ปรากฏมาตั้งแต่ไตรมาส 3/2561ราคาพื้นฐานปรับเพิ่มเป็น 0.89 บาท ด้วย P/BV ปี 61 ที่ 0.6 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 8% ถือว่าไม่สูงนัก ระยะสั้นราคาหุ้นอาจตอบรับในทางบวก จากผลกำไรสุทธิไตรมาส 3/2561 ที่ออกมาดี แต่ในงวดปี 62 จะกลับมาสู่ภาวะปกติ กำไรพิเศษไม่มากแล้ว คาดว่ากำไรสุทธิและกำไรหลักปี 62 เป็น 84 ล้านบาท

Back to top button