PTG วิ่งฉิว 7% คาดยอดขายไตรมาส 4 โตเด่น-มาร์เก็ตแชร์ทะลุ 15%

PTG วิ่งฉิว 7% คาดยอดขายไตรมาส 4 โตเด่น-มาร์เก็ตแชร์ทะลุ 15% โดย ณ เวลา 16.00 น. อยู่ที่ 8.15 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 6.54% สูงสุดที่ 8.20 บาท ต่ำสุดที่ 7.60 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 213.24 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรานงานว่า ราคาหุ้น บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ล่าสุด ณ เวลา 16.00 น. อยู่ที่ 8.15 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 6.54% สูงสุดที่ 8.20 บาท ต่ำสุดที่ 7.60 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 213.24 ล้านบาท

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTG เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3/61 บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดในช่องทางค้าปลีกอยู่ที่ระดับ 14.20% เพิ่มขึ้นจากปี 60 ซึ่งอยู่ที่ 12.70% คาดว่าไตรมาส 4/61 ส่วนแบ่งการตลาดน่าจะเพิ่มมากขึ้นอยู่ที่ 15-15.5% จากการเข้าสู่ช่วง High Season และจากกระแสการตอบรับที่ดีของสถานีบริการใน กทม. และปริมณฑล โดยในปีหน้าจะคัดเลือกการลงทุนในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจนอนออยล์ให้มากขึ้น

ขณะที่ บริษัทยังคงเป้าการเปิดสาขาของสถานีบริการน้ำมันและก๊าซแอลพีจีอยู่ที่ 1,900 สาขา และจำนวนสาขาของธุรกิจ non-oil อยู่ที่ 500 สาขา ซึ่งรวมร้านสะดวกซื้อ Max Mart, ร้านกาแฟพันธุ์ไทย, ร้านคอฟฟี่เวิลด์, ร้านข้าวแกงครัวบ้านจิตร, ร้านซ่อมบำรุงสำหรับรถบรรทุก Pro Truck และสำหรับรถยนต์ Autobacs หลังจากมีกระแสการตอบรับที่ดีของการเปิดสถานีบริการในกทม. และปริมณฑล

อย่างไรก็ดี บริษัทมียอดขายในช่วงไตรมาส 3/61 เติบโต 14% จากช่วงเดียวกันของก่อน ประกอบกับยอดขายในกรุงเทพฯ โตมากถึง 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการให้บริการที่ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งนี้บริษัทจะยังขยายสาขาด้วยการเช่าพื้นที่ของสถานีบริการเดิม และเพิ่มการให้บริการด้วยธุรกิจ non-oil ครบวงจร เพื่อช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงาน และการลงทุนใน non-oil ครั้งนี้จะเป็นการช่วยเสริมประสิทธิภาพของสถานีบริการน้ำมันในอนาคต

ขณะเดียวกันบริษัทยังเพิ่มสิทธิประโยชน์ในบัตร PT Max Card เพื่อเพิ่มเติมความหลากหลาย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกรูปแบบ และบริษัทยังมีการเพิ่มเทคโนโลยีเข้ามาให้บริการ เช่น การชำระเงินด้วย QR Code ในธุรกิจนอนออยล์ เพื่อช่วยสนับสนุนการให้บริการที่ความสะดวก รวดเร็ว และตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทำให้บริษัทจึงมีการมองหาพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยส่งเสริมการเติบโตแบบยั่งยืนในอนาคต

โดยนายพิทักษ์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/61 คาดว่ารายได้จะเติบโตกว่าไตรมาส 3/61 เป็นไปตามปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่เติบโตต่อเนื่อง และค่าการตลาดกลับเข้าสู่ระดับปกติ ซึ่ง ณ วันนี้ ค่าการตลาดอยู่ที่ 1.70-1.80 บาท/ลิตร รวมถึงบริษัทยังมีการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหาร (SG&A) ได้ดีมากขึ้น ทำให้ทั้งปีบริษัทยังคงเป้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเติบโต 15-20% จากปีก่อน และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ระดับ 3.8-4 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าการตลาดที่ต่ำกว่าคาด โดยช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเติบโต 14% และมี EBITDA อยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท

สำหรับแผนธุรกิจในปี 62 บริษัทตั้งเป้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเติบโต 15-20% จากปีนี้ เป็นไปตามการขยายสถานีบริการน้ำมัน และสถานีบริการก๊าซแอลพีจี เพิ่มอีก 180-200 สาขา จากสิ้นปี 61 จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 1,900 สาขา และการขยายสาขาในธุรกิจ non-oil เพิ่มอีก 40-50 สาขา จากสิ้นปีนี้จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 500 สาขา โดยวางงบลงทุนรวมไว้ที่ 3.5 พันล้านบาท แบ่งเป็น การขยายสาขาสถานีบริการน้ำมันและแอลพีจี จำนวน 2.5 พันล้านบาท และในธุรกิจ non-oill จำนวน 500 ล้านบาท ส่วนอีก 500 ล้านบาทจะใช้ลงทุนในธุรกิจใหม่ ขณะที่คาดว่า EBITDA ปี 62 จะอยู่ที่ 3.7 พันล้านบาท บนสมมติฐานค่าการตลาด 1.65 บาท/ลิตร  เติบโตจากปีนี้

“ในปี 62 เราคาดว่ายอดขายน่าจะเติบโตได้ 15-20% เหมือนกับปีนี้ เป็นไปตามการขยายสาขาปั๊มน้ำมันและแก๊ส โดยจะมุ่งเน้นในพื้นที่ที่มีศักยภาพในกรุงเทพฯ เป็นหลัก ซึ่งเราได้ตั้งเป้าขยายปั๊ม ให้ครอบคลุมทั้งสิ้น 68 เขต จากปัจจุบันเหลือเพียง 18 เขตแล้ว ขณะที่ธุรกิจ non-oil ก็จะขยายสาขาเพิ่มเติมอีก โดยเราตั้งเป้าสัดส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ non-oil  ในปีหน้าจะเติบโต 22% ของอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวม จาก 9 เดือนแรกมีสัดส่วนอยู่ที่ 12% แล้ว และคาดว่าจะเป็นปีที่ไม่มีผลขาดทุนแล้ว” นายพิทักษ์ กล่าว

นอกจากนี้ นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่งเจรจากับพันธมิตรในประเทศราว 1-2 ราย เพื่อร่วมลงทุนในการผลิตเอทานอล คาดว่าจะสามารถสรุปโครงการได้ในปี 62 และเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 63 เบื้องต้นคาดมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2 แสนลิตร/วัน

Back to top button