BEAUTY หมดเรื่องร้าย กลับสู่เรื่องดี

จากการผ่านจุดแย่สุดไปแล้วก่อนหน้าของ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ซึ่งช่วงที่เหลือของปีอย่างไตรมาส 4 จะกลับมาเติบโต เพราะเป็นช่วง High Season และการเติบโตของรายได้จากต่างประเทศ


คุณค่าบริษัท

จากการผ่านจุดแย่สุดไปแล้วก่อนหน้าของ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ซึ่งช่วงที่เหลือของปีอย่างไตรมาส 4 จะกลับมาเติบโต เพราะเป็นช่วง High Season และการเติบโตของรายได้จากต่างประเทศ อย่าง Cross Border E-Commerce ลงนามกับทางจีนไปแล้ว 5 เว็บไซต์ ที่เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2561 และในไตรมาส 4/2561 และบริษัทมีแผนที่จะลงนามกับ 3-4 ราย โดยตั้งเป้ารายได้ในปีนี้อยู่ที่ 100 ล้านบาทจะรับรู้เต็มปีในปีหน้า

นอกจากนี้ สินค้าได้รับ CFDA แล้ว 4 รายการ คาดว่าจะเป็นสินค้าในกลุ่มที่ขายดีของบริษัท ได้แก่ Milk Plus ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเข้าสู่ตลาด Mainstream ในจีน

ขณะที่ตลาดต่างประเทศอื่น ๆ ยังเติบโตได้ดีทั้งไต้หวัน เมียนมา จากการปรับเปลี่ยนรูปแบบกับทางพาร์ตเนอร์ สำหรับช่องทาง Consumer Product เติบโต 81% จากงวดเดียวกันของปีก่อนในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ตามการเพิ่มจุดวางขายและสินค้าที่จำหน่าย ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเพิ่มสินค้าใหม่เข้าไปวางจำหน่าย อาทิ สินค้าประเภท Sachet ที่จะวางจำหน่ายใน 7-Eleven ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ เราคาดจะช่วยหนุนการเติบโตของรายได้และผลประกอบการในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีและปีหน้า

ดังนั้นจากแนวโน้มการเติบโตในไตรมาส 4/2561 ทำให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการผลประกอบการของ BEAUTY สำหรับปี 2561-2563 ขึ้นเล็กน้อย คาดกำไรสุทธิปี 2561 อยู่ที่ 1,218 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และคาด 1,366 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 12.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อนในปี 2562 โดยปรับรายได้ขึ้นเล็กน้อยสะท้อนการเติบโตของช่องทางการขายที่มิใช่สาขาทั้งต่างประเทศ, Consumer Product ที่ดีกว่าคาด แต่ปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นลงเล็กน้อย จากสัดส่วนการขายที่มิใช่สาขาซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่ามีสัดส่วนมากขึ้น

แม้ว่าผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 บริษัทมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 1,077.92 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,058.94 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีกำไรลดลงเหลือ 328.99 ล้านบาท หรือ 0.11 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 348.20 ล้านบาท หรือ 0.12 บาทต่อหุ้น หลัก ๆ มาจากกำไรขั้นต้นที่ลดลง และมีค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้น

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 บริษัทมีรายได้จากการขายขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2,813.31 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,622.86  ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 867.75 ล้านบาท หรือ 0.29 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 821.03 ล้านบาท หรือ 0.27 บาทต่อหุ้น

แม้การเติบโตของบริษัทจะไม่สูงเหมือนที่ผ่านมา แต่บริษัทยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งเป็น Cash Company ด้วยไม่มีภาระหนี้ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สูง และ RoE ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 71% ในปีนี้ อีกทั้งมองว่าราคาหุ้นที่ปรับลงมาในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนถึงผลประกอบการที่อ่อนตัวในไตรมาส 2/2561ไปแล้ว ดังนั้นนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. นายสุวิน ไกรภูเบศ 453,974,000 หุ้น 15.10%
  2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 211,669,876 หุ้น 7.04%
  3. นางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ 184,098,000 หุ้น 6.12%
  4. STATE STREET EUROPE LIMITED 114,165,967 หุ้น 3.80%
  5. กองทุนเปิด กรุงศรีหุ้นระยะยาวปันผล 76,825,900 หุ้น 2.56%

รายชื่อกรรมการ

  1. พลโทเผด็จ จารุจินดา ประธานกรรมการ, กรรมการอิสระ
  2. นายสุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, กรรมการ
  3. นางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ กรรมการ
  4. น.ส.มณสุธาทิพ มลาอัครนันท์ กรรมการ
  5. ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ กรรมการ

Back to top button