พาราสาวะถี

วันนี้คงจะมีคำตอบเรื่องปลดล็อกพรรคการเมืองทำกิจกรรม หลังวงถกแม่น้ำ 5 สายกับพรรคการเมือง และ กกต. เพราะคนที่มีอำนาจตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนั่งหัวโต๊ะปากก็บอกว่าแค่ไปรับฟังเฉย ๆ แต่หากมีการเปิดโอกาสให้ใครลุกขึ้นพูดแล้วมีการพาดพิงหรือจี้ใจดำขึ้นมา เชื่อแน่ว่าหัวหน้าเผด็จการคงไม่เก็บอาการและน่าจะต้องบอกกล่าวกันให้เกิดความชัดเจน


อรชุน

วันนี้คงจะมีคำตอบเรื่องปลดล็อกพรรคการเมืองทำกิจกรรม หลังวงถกแม่น้ำ 5 สายกับพรรคการเมือง และ กกต. เพราะคนที่มีอำนาจตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนั่งหัวโต๊ะปากก็บอกว่าแค่ไปรับฟังเฉย ๆ แต่หากมีการเปิดโอกาสให้ใครลุกขึ้นพูดแล้วมีการพาดพิงหรือจี้ใจดำขึ้นมา เชื่อแน่ว่าหัวหน้าเผด็จการคงไม่เก็บอาการและน่าจะต้องบอกกล่าวกันให้เกิดความชัดเจน

เพราะวันนี้ไม่ใช่แค่ว่าจะปลดล็อกกันอย่างไรเท่านั้น แต่หากมีการปลดล็อก ท่านผู้นำก็บอกแล้วว่า จะประกาศอนาคตทางการเมืองให้ทุกคนได้รู้ แน่นอนว่า แม้ทุกคนจะรู้ปลายทางอยู่แล้วว่าจะเดินไปในทางไหน แต่ก็อยากจะได้ยินจากปากแบบชัด ๆ ไม่ว่าจะอย่างไรในฐานะหัวหน้าเผด็จการยังกุมความได้เปรียบทุกประตูโดยเฉพาะการมีอำนาจตามมาตรา 44 อยู่ในมือ

ส่วนการคาดหมายกันว่า น่าจะมีการประกาศเรื่องวันเลือกตั้งไปในคราวเดียวกัน ไหน ๆ ท่านผู้นำก็ไปรับปากต่างประเทศเขาไว้เสียดิบดี อย่างที่ล่าสุดไปบอกผู้นำเยอรมนีว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ และไทม์ไลน์ของ กกต.ก็มีความพร้อมตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ จึงมองไม่เห็นว่าจะต้องลีลา ยื้อยึดกันไว้อีกทำไม

อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจของวงประชุมครั้งนี้ หากมีพรรคการเมืองอย่างเพื่อไทย เพื่อชาติ ไทยรักษาชาติ และอนาคตใหม่ไม่เข้าร่วมจะถือเป็นเรื่องปกติ แต่การที่ประชาธิปัตย์เอากับเขาด้วย แม้จะให้เหตุผลที่ต่างออกไป ถ้าไม่ใช่การเล่นละคร ก็ถือว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เห็นรูปรอยของความไม่พอใจต่อขบวนการสืบทอดอำนาจที่กำลังดำเนินไป

เหตุผลที่ ธนา ชีรวินิจ โฆษกพรรคเก่าแก่แถลง และมีการให้สัมภาษณ์สำทับตามมาทั้งจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคดูแลพื้นที่ภาคกลาง ทำให้เห็นว่านาทีนี้ แม้แต่คนที่เคยเป็นมิตรยังมองว่าท่านผู้นำเผด็จการไม่ได้เป็นกรรมการเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว แต่ถือเป็นผู้เล่นและเป็นผู้มีส่วนได้เสียต่อกระบวนการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น การที่พรรคพลังประชารัฐแสดงท่าทีอันเด่นชัดว่าจะเสนอชื่อเป็นนายกฯ ในโควตาของพรรค นั่นยิ่งทำให้เห็นว่าบิ๊กตู่คือส่วนหนึ่งของพรรคการเมืองที่จะต้องเข้ามาเป็นคู่แข่งขันของพรรคการเมืองที่จะไปร่วมประชุม เช่นนั้นจะให้คนที่เป็นคู่แข่งมานั่งหัวโต๊ะแล้วสั่งการโน่นนี่นั่นได้อย่างไร ถือเป็นการให้เหตุผลที่น่ารับฟังสำหรับพรรคเก่าแก่

ขณะเดียวกันก็มีข้อเสนออันแหลมคมที่คงยากที่จะได้รับการตอบสนอง นั่นก็คือการเรียกร้องให้ผู้นำเผด็จการลาออกจากทั้งหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะได้เข้าสู่สนามเลือกตั้งกันแบบแฟร์ ๆ แหม! ใครจะโง่ไปทำตาม เพราะทุกวันนี้การใช้หัวโขนผู้นำประเทศเดินทางไปตรวจราชการในจังหวัดต่าง ๆ  ถ้อยคำที่ปราศรัย พูดจากับประชาชนในพื้นที่นั้น มันชัดเจนยิ่งว่าเป็นการหาเสียงเพื่อบางพรรคการเมือง

เหมือนรู้ทัน อภิสิทธิ์จึงดักคอด้วยการบอกว่าอย่าอ้างธรรมาภิบาลด้วยการพูดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วย เพราะในยุคที่ตัวเองเป็นนายกฯ มีการเลือกตั้งซ่อม ทั้งรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมยังต้องลาออกเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและไม่เป็นการเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น หากเป็นเมื่อก่อนความเห็นของหัวหน้าพรรคเก่าแก่อาจมีเสียงตอบรับ แต่มาถึงตรงนี้ความหวังดีจะถูกมองว่าเป็นเจตนาร้ายเพื่อทำลายกันทางการเมืองไปเสียฉิบ

ไม่ต่างกัน จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. และกองเชียร์พรรคเพื่อชาติ ให้ความเห็นว่า ถ้ากรรมการประสงค์เป็นผู้เล่นต้องลาออก รวมทั้งควรยอมรับความจริงว่า กกต.อยู่ใต้อำนาจ ม.44 ของหัวหน้า คสช. สามารถถูกปลดออกเมื่อไหร่ก็ได้ เพื่อเอาเปรียบพรรคอื่น และเมื่อเป็นคู่แข่งขันนายกฯ เป็นตัวแทนของพรรคแล้ว พรรคการเมืองจึงยากจะยอมรับได้

ด้วยเหตุนี้เวทีประชุมพรรคการเมืองวันนี้ สิ่งที่หัวหน้าเผด็จการและองคาพยพที่เกี่ยวข้องยืนยันไว้ก่อนการหารือคือ ให้พรรคมารับฟังอย่างเดียว ไม่เปิดโอกาสให้แสดงความเห็น นั่นก็หมายความว่า การเข้าร่วมหารือครั้งนี้จึงไม่แตกต่างจากการสั่งให้มาฟังคำสั่ง ม.44 ซึ่งอยู่ที่ไหนก็สามารถฟังได้ ไม่จำเป็นต้องเข้ามาร่วมประชุมด้วยแต่อย่างใด

สิ่งสำคัญ คือ สถานการณ์การเมืองขณะนี้ถูกแบ่งฝ่ายชัดเจน เป็นฝ่ายประชาธิปไตยกับเผด็จการ หรือฝ่ายประยุทธ์กับไม่เอาประยุทธ์ ขณะเดียวกันยังมีพรรคการเมืองบางพรรคได้เปรียบพรรคอื่นอย่างมาก มีการนำชื่อนโยบายรัฐบาลไปตั้งชื่อพรรค ภาพของการได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองมันเด่นชัด แต่ผู้มีอำนาจกลับอ้างหลักการกฎหมาย โดยเป็นการอ้างที่ปล่อยให้พวกหนึ่งพรรคหนึ่งทำได้ทุกอย่าง ขณะที่พรรคส่วนใหญ่ถูกจับมัดมือมัดเท้า

ความเห็นของจตุพรที่น่าคิดคือ คนไทยต้องการความสงบนั้นเป็นความจริง ต้องการเลือกตั้งเป็นความจริง อยากได้รัฐบาลมาแก้ปัญหาปากท้องก็เป็นความจริง จึงอยากให้มีการปรับทัศนคติในการประชุมครั้งนี้เสียใหม่ โดยไม่ให้มีการฟังฝ่ายเดียว แต่พรรคการเมืองสามารถร่วมแลกเปลี่ยนพูดคุยกันได้ หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็ถือเป็นสัญญาณที่ส่งไปยังการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นว่าจะเป็นไปด้วยความสุจริต เสรีและเที่ยงธรรมได้อย่างไร

ผลจากการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งของ กกต. ที่กระทำภายใต้ร่มเงาของมาตรา 44 น่าจะเป็นหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า องค์กรอิสระที่จะเข้ามาบริหารจัดการเลือกตั้งนั้นเป็นที่ไว้วางใจ น่าเชื่อถือมากแค่ไหน ต้องไม่ลืมว่ามาตรายาวิเศษนั้นจะมีอยู่ไปจนกว่านายกฯ คนใหม่จะเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งหมายความว่า ก่อน ระหว่าง และหลังการเลือกตั้ง หาก กกต.เกรงว่าจะมีปัญหาจากการตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใด โดยเฉพาะการให้คุณบางพวกให้โทษกับบางฝ่าย อาจหันไปพึ่งใบบุญของอำนาจวิเศษดังว่า โดยไม่สนใจความสง่างามและความน่าเชื่อถือขององค์กรตัวเอง

Back to top button