หุ้นกองทุนไล่เก็บท้ายปี!!

เดือนธันวาคมถือเป็นโค้งสุดท้ายของปีในการลงทุน…ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเดือนธันวาคมตลาดหุ้นจะมีการฟื้นตัวขึ้น จากอานิสงส์เม็ดเงินของกองทุน LTF และ RMF ไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก


เส้นทางนักลงทุน

เดือนธันวาคมถือเป็นโค้งสุดท้ายของปีในการลงทุน… ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเดือนธันวาคมตลาดหุ้นจะมีการฟื้นตัวขึ้น จากอานิสงส์เม็ดเงินของกองทุน LTF และ RMF ไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก

โดยมีการคาดการณ์ว่าเม็ดเงินกองทุน LTF ไหลเข้าราว 2.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่กองทุน RMF ไหลเข้า 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวได้หลังจากที่ร่วงมา 2 เดือนติดต่อกัน และคาดว่าจะช่วยหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1,700 จุดได้อีกครั้ง!!!

จากสถิติความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนธันวาคม ย้อนหลังนับตั้งแต่มีการจัดตั้งกองทุน LTF และ RMF ในปี 2005 เป็นต้นมา พบว่า มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย 1.4% โดยมีระดับความเชื่อมั่นประมาณ 70% แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ปีที่ SET Index ในเดือนธันวาคมให้ผลตอบแทนติดลบล้วนเป็นปีที่ต่างชาติขายสุทธิอย่างมีนัยสำคัญระดับ 3-4 หมื่นล้านบาททุกครั้ง

ในางกลับกันช่วงเดือนธันวาคมของปี 2561 โอกาสที่ต่างชาติจะขายสุทธิในระดับดังกล่าวมีน้อยมาก… เนื่องจากต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปมากแล้วในช่วงปี 2556-2561 (11 เดือนในปี 2561) โดยขายสุทธิรวมมูลค่ามากกว่า 6 แสนล้านบาท

ขณะเดียวกันเริ่มต้นเดือนธันวาคมก็เริ่มเห็นนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเข้ามาแล้ว โดยเปิดตลาดมาของช่วงเดือนธันวาคม 2561 เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2561 นักลงทุนต่างชาติก็ซื้อสุทธิไป 2,676.95 ล้านบาท ต่อมาในวันที่ 4 ธ.ค. 2561 ซื้อสุทธิไปอีก 5,387.56 ล้านบาท

สิ่งสำคัญจากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศได้มีการทยอยซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมียอดซื้อสุทธินับตั้งแต่ 1 ม.ค.-4 พ.ย. 2561 จำนวน 188,324.68 ล้านบาท และช่วงโค้งสุดท้ายหวังว่าจะมีการซื้อสุทธิต่อเนื่องอย่างแน่นอน

ทั้งนี้มองแนวโน้ม SET Index อยู่ในช่วงการแกว่งสร้างฐานไม่หลุดระดับ 1,650 จุด เพื่อคาดหวังการขยับตัวขึ้นในลักษณะ Sideway Up ในช่วงปี 2562 รับผลเชิงบวกจากการเลือกตั้ง ด้วยมองเม็ดเงินกองทุน LTF และ RMF จะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนธันวาคมนี้ให้ฟื้นตัวขึ้น!!!

ดังนั้นหุ้นที่แนะนำลงทุนเดือนธันวาคมเน้นไปที่หุ้นพื้นฐานดี เพราะน่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของ LTF และ RMF นั่นเอง ได้แก่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS, ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT,

บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC, บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH, บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB, บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA และ บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM เป็นต้น

ดังนั้นหุ้นดังกล่าวที่นำเสนอจะเป็นตัวแรก ๆ ของการรับอานิสงส์ของเม็ดเงิน LTF และ RMF ไหลเข้าในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2561 เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีกองทุนถืออยู่แล้วเป็นส่วนใหญ่!!!

 

Back to top button