เปิด 8 หุ้น SET วิ่งแรงสวนตลาดฯ โชว์ 11 เดือนโกยรีเทิร์นเกิน 50%

เปิด 8 หุ้น SET วิ่งแรงสวนตลาดฯ โชว์ 11 เดือนโกยรีเทิร์นเกิน50%   


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)กลุ่ม SET ในรอบ 11 เดือนปี 2561 โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-30 พ.ย.61 และคัดเลือกราคาหุ้นที่ปรับตัวสวนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลง 6.38% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1641.80 จุด ( 30 พ.ย.61) ลบไป 111.91จุด

โดยทิศทางราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมานับว่ามีแรงกดดันหลายด้าน อาทิ แรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) ที่พุ่งแตะระดับ 3.24% และความวิตกธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด รวมทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยังกดดันการลงทุนมากสุดในเวลานี้

อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยรับรู้ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไปค่อนข้างมาก เชื่อว่าเดือนสุดท้ายของปีจะเห็นการฟื้นตัวของหุ้นหลายๆตัว โดยเฉพาะหุ้นพื้นฐานที่ปรับตัวลงแรง ซึ่งน่าจะมีปัจจัยบวกสนับสนุนทั้งแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2561 จะออกมาโดดเด่น ผนวกกับหุ้นที่อยู่ใน high season และน่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐที่ออกมากระตุ้นอย่างมากในช่วงนี้ อีกทั้งการเมืองไทยเริ่มชัดเจนและเดินหน้าเลือกตั้งตามแผน

สำหรับราคาหุ้น SET ในรอบ 11 เดือนที่ปรับตัวสวนภาวะตลาดฯติดลบและปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่นได้คัดเลือกมานำเสนอ 8 ตัว เนื่องจากหุ้นดังกล่าวให้ผลตอบแทนเกิน50% นำโดย EMC,GLAND,TRITN ,KTC,AEONTS, LRH,NPPG และ LTX  อย่างไรก็ตามการนำเสนอข้อมูลอาจได้ไม่ครบทั้งหมดดังนั้นจึงขอเลือกนำเสนอข้อมูลประกอบการปรับตัวขึ้นแรงของหุ้นเพียง 5 ตัวแรกของตารางดังนี้

อันดับ 1 บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) หรือ EMC  ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 188.89% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 0.09 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.26 บาท (30พ.ย.61) คาดนักลงทุนเก็งกำไรหุ้นเล็ก และแผนธุรกิจที่จะเพิ่มรายได้และดันปีนี้พลิกมีกำไร

สำหรับแนวทางสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ได้แก่  เพิ่มช่องทางในการประมูลงานก่อสร้างให้มากขึ้น ทั้งงานเอกชนและงานภาครัฐ ,จัดหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อก่อสร้างโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และมุ่งเน้นด้านการจัดการและบริหารพื้นที่เช่าและที่พักอาศัย โครงการมหาชัย และโครงการสเตชั่นวัน

ส่วนการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายนั้น จะบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้าง โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้างหลัก เช่น เหล็ก และปูนซีเมนต์ เป็นต้น ,บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ ,การปรับปรุงพัฒนาให้บุคลากรสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ,งานขาย (Sales) เรื่องพนักงานขาย จะจัดให้มีพนักงานขายอย่างเหมาะสม โดยใช้ทางเลือกอื่นร่วมด้วย เช่น เอเย่นต์ ขายตรง ขายทางโทรศัพท์ ขายปลีกหรือขายส่ง การมีทางเลือกที่ดีจะช่วยลดต้นทุนได้เช่นกัน

สำหรับทิศทางของบริษัทในอนาคตนั้น บริษัทยังคงมุ่งมั่นปรับปรุงพัฒนาธุรกิจให้มีศักยภาพทั้งในการแข่งขัน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับเอกชนและหน่วยงานราชการ ในการก่อสร้างและงานระบบ บริษัทคาดว่าผลประกอบการทั้งปี 61 จะกลับมามีรายได้เพิ่มขึ้นมาก และจะกลับมามีกำไรสุทธิในรอบหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากไม่มีรายการตั้งสำรองอีก

บริษัทยืนยันว่าจะสามารถมีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอในการรับงานรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ได้ จากเงินทุนหมุนเวียนของกิจการ และการได้รับการสนับสนุนทางการเงินในรูปแบบ Project Finance จากธนาคารพันธมิตรที่เป็นสถาบันการเงินหลายแห่ง เป็นต้น 

 

อันดับ 2 บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 105.35% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 1.87 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 3.84 บาท (30 พ.ย.61) คาดนักลงทุนเข้ามาไล่ราคาหุ้น เนื่องจากมีกระแสการเข้าซื้อหุ้นจากกลุ่มบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN โดยดีลเริ่มชัดเจนภายหลังที่กลุ่มเซ็นทรัลทุ่มงบหมื่นล้านเข้าซื้อหุ้นบิ๊กล็อตในช่วงเดือนกันยายน2561

ต่อมากลุ่ม CPN กำหนดระยะเวลาทำคำเสนอซื้อระหว่างวันที่ 25 ก.ย.61-31 ต.ค.61 ในราคาเสนอซื้อที่หุ้นละ 3.10 บาท และกำหนดวันที่ชำระราคาหลักทรัพย์ที่เสนอซื้อในวันที่ 2 ก.ย. 61 ส่งผลให้ราคาหุ้น GLAND ในช่วงที่ผ่านมาทะยานขึ้นแรงต่อเนื่อง และจากนี้ต้องจับตาว่า CPN จะมีแผนพัฒนาธุรกิจ GLAND อย่างไรบ้างภายหลังทำคำเสนอซื้อแล้ว

 

อันดับ 3 บริษัท ไทรทัน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TRITN ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 105% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 0.20 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.41 บาท (30 พ.ย.61) ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรแผนธุรกิจที่โดดเด่น อีกทั้งบริษัทประกาศล้างขาดทุนสะสมจำนวน 311,538,119 บาท ได้ทั้งหมด ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯไม่มีหนี้สินคงค้าง

โดย TRITN ขณะนี้ถือเป็นยุคใหม่บริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแรงมุ่งเก็บสะสมเงินสดเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจและการลงทุนในอนาคต โดยบริษัทมีผลกำไรติดต่อกัน 3 ไตรมาส ถือเป็นสัญญาณอันดีว่าเราดำเนินธุรกิจมาอย่างถูกทางและ TRITN เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานทุกด้านที่เราดำเนินการอยู่ มั่นใจว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้ภาพรวมธุรกิจของ TRITN จะเป็นไปตามเป้าหมายคือดีและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

อันดับ 4 บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 82.80% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 18.60 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 34.00 บาท (30 พ.ย.61) เนื่องจากหุ้นมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนทั้งเรื่องแตกพาร์ แผนธุรกิจโดดเด่น และผลการดำเนินงานที่ออกมาอย่างสดใสและต่อเนื่อง

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2019 เท่ากับ 46 บาท คาดกำไรสุทธิปีนี้ 5.3 พันลบ. +61% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/61 จะทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งตามฤดูกาลการจับจ่ายใช้สอย และมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐฯ

คาดกำไรปีหน้า 6.6 พันลบ. +24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจากรายได้ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามการเติบโตของสินเชื่อที่เป็น High-yield ทำให้ Spread ดีขึ้น และคาด Credit cost ลดลงจากการตั้งสำรองฯที่จำเป็นน้อยลง เพราะคุณภาพสินเชื่อดีขึ้น

 

อันดับ 5 บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 82.61% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 103.50 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 189.00 บาท (30 พ.ย.61) เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจพื้นฐานธุรกิจบวกกับนักวิเคราะห์ปรับราคาเป้าหมายทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคาในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา

บล.ทิสโก้ ระบุว่า AEONTS แนะนำให้ “ซื้อ” มูลค่าที่เหมาะสม 217 บาท โดยราคาหุ้นของ เพิ่มขึ้น 88.4% โดยราคาหุ้นทำจุดสูงสุดที่ 217 บาท ในวันที่ 3 ต.ค. ก่อนที่จะถูกเทขายทำกำไร และทำให้ราคาหุ้นในปัจจุบันมีอัพไซด์ที่น่าสนใจ โดยเรามองปัจจัยบวกคือ  1) สินเชื่อบุคคลที่เพิ่มขึ้น  2) การควบคุมต้นทุนที่ดี  3) คุณภาพสินทรัพย์ที่ไม่แย่ลง โดยเราใช้ GGM ในการประเมินมูลค่าที่เหมาะสม โดยใช้ PBV ที่ 2.57 เท่า (+1Std) และหากสินเชื่อโตได้ถึง 15% อาจทำให้ PBV ขึ้นไปถึง +2std ที่ 2.82 เท่าได้

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button