สรุปภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศ

สรุปภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศประจำวันที่ 13 ธ.ค. 2561


ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) จากแรงซื้อหุ้นกลุ่มที่สามารถต้านทานวัฏจักรทางเศรษฐกิจ (defensive stocks) เช่นหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภค และกลุ่มสาธารณูปโภค ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากทั้งสองฝ่ายส่งสัญญาณความพร้อมที่จะผลักดันให้การเจรจามีความคืบหน้ามากขึ้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,597.38 จุด เพิ่มขึ้น 70.11 จุด หรือ +0.29% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,650.54 จุด ลดลง 0.53 จุด หรือ -0.02% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,070.33 จุด ลดลง 27.98 จุด หรือ -0.39%

 

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) หลังจากนายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจยูโรโซนทั้งในปีนี้และปีหน้า พร้อมกับเตือนว่าเศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลง ขณะที่นักลงทุนจับตาประเด็นร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)

ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.2% ปิดที่ 349.42 จุด

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,924.70 จุด ลดลง 4.73 จุด หรือ -0.04%  ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,877.50 จุด ลดลง 2.69 จุด หรือ -0.04% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,896.92 จุด ลดลง 12.52 จุด หรือ -0.26%

 

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย พร้อมกับจับตาประเด็นร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) หลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ รอดพ้นจากการลงมติไม่ไว้วางใจในพรรคอนุรักษ์นิยมอย่างเฉียดฉิว

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,877.50 จุด ลดลง 2.69 จุด หรือ -0.04%

 

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า ซาอุดีอาระเบียเตรียมลดการส่งออกน้ำมันดิบให้กับโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐ และจากรายงานของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ซึ่งระบุว่า ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงในเดือนพ.ย.

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. พุ่งขึ้น 1.43 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 52.58 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.30 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 61.45 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 49 ปี

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 2.60 ดอลลาร์ หรือ 0.21% ปิดที่ 1247.40 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 0.4 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 14.855 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 9.6 ดอลลาร์ หรือ 1.19% ปิดที่ 797.50 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. ร่วงลง 3.80 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1,190.70 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนและฟรังก์สวิส ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 49 ปี ซึ่งช่วยบรรเทาความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่ยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศยุติโครงการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงสิ้นเดือนนี้ ส่วนเงินปอนด์ดีดตัวขึ้นหลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ รอดพ้นจากการลงมติไม่ไว้วางใจในพรรคอนุรักษ์นิยม

ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1366 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1365 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.2660 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2632 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7227 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7219 ดอลลาร์สหรัฐ

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.60 เยน จากระดับ 113.21 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9933 ฟรังก์ จากระดับ 0.9928 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3355 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3350 ดอลลาร์แคนาดา

 

Back to top button