ตรวจสุขภาพราคาหุ้น SET50 ต้นปีถึงท้ายปี

นับตั้งแต่ต้นปีถึงปลายปี 2561! ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวน ซึ่งเปิดตลาดวันแรกของปีวันที่ 3 ม.ค.61 ดัชนี SET ปิดอยู่ที่ 1,778.53 จุด หลังจากนั้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จนไปทำจุดสูงสุด 1,838.96 จุด ในวันที่ 24 ม.ค.61 (สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เปิดการซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ฯ นับจากปี 2518)


เส้นทางนักลงทุน

นับตั้งแต่ต้นปีถึงปลายปี 2561! ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวน ซึ่งเปิดตลาดวันแรกของปีวันที่ 3 ม.ค.61 ดัชนี SET ปิดอยู่ที่ 1,778.53 จุด หลังจากนั้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จนไปทำจุดสูงสุด 1,838.96 จุด ในวันที่ 24 ม.ค.61 (สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เปิดการซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ฯ นับจากปี 2518)

กระทั่งดัชนีมีการปรับฐานโดยอ่อนตัวลงมาอยู่บริเวณแถว ๆ 1,780-1,800 จุด จากนั้นพยายามเด้งกลับแต่ก็ไม่สามารถผ่านแถว 1,830 จุด ไปได้อีก จนในที่สุดดัชนีก็อ่อนตัวลงเรื่อย ๆ จนลงไปทำจุดต่ำสุดของปีที่ระดับ 1,595.59 จุด ในวันที่ 29 มิ.ย.61

แล้วจากนั้นดัชนี SET เริ่มกลับเป็นขาขึ้นอีกรอบ ซึ่งค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแถว 1,760 จุด จากนั้นก็มีแรงเทขายออกมารอบใหม่จนทำให้ดัชนีค่อย ๆ อ่อนตัวลงเรื่อย ๆ แถวระดับ 1,600 จุด ณ ล่าสุด

ด้วยดัชนี SET จากต้นปีถึงปลายปีนับว่าเคลื่อนไหวผันผวน… แต่จะอิงในทิศทางขาลงเสียมากกว่า (โดยภาพรวมปรับตัวลงกว่า 10%) อานิสงส์หลักเกิดจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่องที่ขายสุทธิสะสมไปแล้วจำนวน 286,115.33 ล้านบาท (ตั้งแต่ 1 ม.ค.-17 ธ.ค.61)

ขณะที่สถาบันในประเทศ (กองทุน) ซื้อสุทธิสะสมไปแล้วจำนวน 178,918.59 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ (รายย่อย) ซื้อสุทธิสะสมไปแล้วจำนวน 116,027.48 ล้านบาท (ตั้งแต่ 1 ม.ค.-17 ธ.ค.61)

สรุปได้ว่าแรงซื้อของกองทุนและรายย่อยไม่สามารถต้านทานแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติได้…ทำให้ราคาหุ้นโดยเฉพาะกลุ่ม SET50 ต่างปรับตัวลง แล้วส่งผลให้กองทุนและรายย่อยต่างติดดอย….หรือนี่เป็นประเด็นที่ทำให้กองทุนไม่เข้าเก็บหุ้นช่วงโค้งสุดท้ายของปี..เนื่องจากใช้เงินซื้อหุ้นช่วงต้นปีไปเสียเยอะแล้ว!!!

เอาเป็นว่าหุ้นที่มีอิทธิพลต่อตลาด และเป็นหุ้นที่กองทุนและนักลงทุนต่างชาติไล่เก็บเยอะสุดก็คงหนีไม่พ้นหุ้นกลุ่ม SET50 นั่นเอง

ดังนั้นลองมาตรวจสุขภาพราคาหุ้นกลุ่ม SET50 ว่ามีตัวไหนที่สามารถปรับตัวขึ้นชนะดัชนี และตัวไหนปรับตัวลงไปตามภาวะดัชนี (ราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60 วัดด้วยราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 14 ธ.ค.61) การสำรวจจะได้รู้ว่าสุขภาพของหุ้นแต่ละตัวใน SET50 เป็นอย่างไรบ้าง

พบว่า หุ้นที่มีราคาปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ได้แก่ KTC, BDMS, MTC, GLOBAL, PTTEP, HMPRO, BEM, EGCO, BTS, PTT, KTB, TOA, GLOW, CPF, BH, BBL และ IVL เป็นต้น

ขณะที่หุ้นที่ราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างอ่อนแอ ได้แก่ BEAUTY, CBG, SPRC, TOP, CENTEL, TMB, GPSC, KBANK, MINT, BJC, IRPC, INTUCH, TU, BANPU, KKP, SCC, ADVANC, PTTGC, EA, RATCH, CPN, TISCO, BPP, CPALL, SCB, AOT, DTAC, BGRIM, TCAP, LH, ROBINS, TRUE และ DELTA เป็นต้น

สำหรับราคาหุ้นดูรายละเอียดจากตารางประกอบ

ทั้งนี้ คัดราคาหุ้น “ขึ้น-ลง” ที่เห็นได้ชัดใน SET50 หลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นมากสุดประจำปี 2561 เป็น KTC ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 72.04% ซึ่งจากราคา 18.60 บาท ทะยานขึ้นไปอยู่ที่ 32 บาท ต่อมาเป็น BDMS ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 24.40% ซึ่งจากราคา 20.90 บาท ทะยานขึ้นไปอยู่ที่ 26 บาท และ MTC ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 23.23% ซึ่งจากราคา 38.75 บาท ทะยานขึ้นไปอยู่ที่ 47.75 บาท

ส่วนหลักทรัพย์ที่ทำให้ผู้ถือหุ้นขาดทุนมากสุดเป็น BEAUTY ราคาหุ้นลดลง 58.89% จากราคา 20.80 บาท อ่อนตัวลงเหลือ 8.55 บาท ต่อมาเป็น CBG ราคาหุ้นลดลง 46.13% จากราคา 80.75 บาท อ่อนตัวลงเหลือ 43.50 บาท และ SPRC ราคาหุ้นลดลง 36.26% จากราคา 17.10 บาท อ่อนตัวลงเหลือ 10.90 บาท

สุขภาพราคาหุ้น SET50 จากต้นปีถึงท้ายปี….ภาพรวมถือว่า “แย่” มากกว่า “ดี” แต่ไม่ต้องถึงขั้นเข้าไอซียู!!!

Back to top button