เผชิญคลื่นลมอย่างมีสติ

ปีเก่า ปีจอกำลังจะผ่านไป ปีใหม่ ปีกุนกำลังเคลื่อนเข้ามา พบกันในวันสุดท้ายของการทำงาน ก่อนไปฉลองปีใหม่กันตามอัตภาพและอารมณ์กันเลยนะครับ


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

ปีเก่า ปีจอกำลังจะผ่านไป ปีใหม่ ปีกุนกำลังเคลื่อนเข้ามา พบกันในวันสุดท้ายของการทำงาน ก่อนไปฉลองปีใหม่กันตามอัตภาพและอารมณ์กันเลยนะครับ

ปีเก่าที่กำลังจะผ่านพ้น ถือเป็นปีสาหัสสากรรจ์ของตลาดหุ้นไทยไม่น้อย ดัชนีออกสตาร์ตมาต้นปี 2561 ที่ระดับ 1,753 จุด แล้วก็ถดถอยลงสู่ระดับ 1,550 จุดบวกลบ ตรวจแถวหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 มีราคาปรับตัวลงนับแต่ต้นปีมากว่าครึ่ง

มีเพียงแค่ 17 หลักทรัพย์เท่านั้นที่ราคาปรับตัวขึ้นได้ อาทิ KTC BDMS MTC GLOBAL PTTEP HMPRO และ BEM เป็นต้น ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ในระดับ 20% ขึ้นไป

โชคยังดีที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมิได้ย่ำแย่ตามไปด้วย บริษัทจดทะเบียนยังคงรักษาผลกำไรที่เติบโตได้ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯระบุว่าในปี 2561 มีการจ่ายเงินปันผลรวมกันกว่า 5.19 แสนล้านบาท จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.78

ปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยอย่างหนัก ก็เป็นที่รู้กันดีในเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน  ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายเปิดศึกและจีนก็ทำการตอบโต้อย่างรุนแรง

อันที่จริงก็ไม่ใช่ตลาดหุ้นไทยเพียงตลาดเดียวหรอกที่ได้รับผลกระทบ แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ไม่ว่าตลาดประเทศที่พัฒนาแล้วหรือตลาดเกิดใหม่ก็ตาม

จากสงครามการค้าก็จะลามไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็จะปรับตัวลดลงอย่างไม่ต้องสงสัย หุ้นกลุ่มพลังงานที่มีน้ำหนักมากต่อตลาด ก็จะปรับตัวลดลง

อันจะเป็นปัจจัยที่ไม่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเลย

กองทุนหรือโบรกเกอร์หลักทรัพย์บางส่วน อาจจะมองโลกสวยว่า หลังเลือกตั้งไปแล้ว ตลาดอาจจะสดใสขึ้น เพราะมีรัฐบาลใหม่ที่ประชาคมโลกให้การยอมรับ และอาจจะมีนโยบายใหม่ ๆ ที่ประชาชนชื่นชอบในการปกครองบริหารประเทศ

แต่นั่นก็ยังต้องมองไปถึงตัวแปรอื่น ๆ ประกอบไปด้วย เช่นพล.อ.ประยุทธ์คงจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะมีส.ว.แต่งตั้ง 250 คนให้การสนับสนุน

แต่หากพรรคพลังประชารัฐได้รับการเลือกตั้งเข้ามาน้อย หรือมีพันธมิตรน้อยรวมกันแล้วไม่ถึงกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลก็อาจแพ้โหวตในวาระพิจารณากฎหมายต่าง ๆ หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

รัฐบาลอาจอยู่ได้ลำบากเพราะขาดเสถียรภาพ

ในทางตรงกันข้าม หากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลปัจจุบันได้รับชัยชนะเลือกตั้ง ก็คงหนีไม่พ้นความวุ่นวายอีกแบบหนึ่ง เพราะจะถูกบั่นทอนจากองค์กรอิสระต่าง ๆ การขับเคลื่อนการบริหารราชการ ก็จะมีข้อจำกัดและอุปสรรคไม่น้อยจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้

มันก็อาจจะเหมือนช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งตลาดหุ้นรีบาวด์ขึ้นมาได้จากกระแส “อีเลคชั่น แรลลี่” เมื่อกำหนดการเลือกตั้งมีความชัดเจน แต่ตลาดก็รีบาวด์ได้แค่ช่วงสั้น ไม่ถึง 2 สัปดาห์ จากนั้นก็ปรับโหมดสู่ความซบเซาต่อ

โดยสรุปตลาดหุ้นปีหน้า 2562 คงจะหวังบรรเจิดเป็น “ปีหมูทอง” อะไรประเภทนั้นไม่ได้ เพราะสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯทำท่าจะยืดเยื้ออีกยาวนาน อย่างน้อย ๆ ก็คงจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงการดำรงตำแหน่งของทรัมป์

แต่ก็ใช่ว่า ไม่สามารถจะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นได้เลย เนื่องจากขณะนี้มีหุ้นพื้นฐานดีที่ให้ผลตอบแทนสูงจำนวนมาก จากตลาดหุ้นช่วงขาลง

อาทิหุ้น INTUCH ในราคา 47 บาทปัจจุบัน เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 8.79% ปตท. 4% หุ้นพื้นฐานดี มีสภาพคล่องและให้ผลตอบแทนปันผลสูงตั้งแต่ 4% ขึ้นไป มีมากกว่า 60 ตัว

การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund&REITs) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย 6.44% และ 7.72% ตามลำดับ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุน

มองอีกด้านหนึ่งจึงเป็นโอกาสที่จะเข้าลงทุน โดยเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสม

ขอส่งกำลังใจให้ฝ่าคลื่นลมผันผวนทั้งทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไปได้อย่างมีสติในปีหน้าฟ้าใหม่ครับ

 

Back to top button