จีน กับ แอปเปิล

วันอังคารที่จะถึง โลกคงทราบถึงผลลัพธ์ของการเจรจาของคณะผู้แทนทางการค้าสหรัฐฯ-จีน ว่าจะออกมาบวกหรือลบ หรือว่าจะเป็นได้แค่ตกลงว่าไม่สามารถตกลงกันได้


พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล

วันอังคารที่จะถึง โลกคงทราบถึงผลลัพธ์ของการเจรจาของคณะผู้แทนทางการค้าสหรัฐฯ-จีน ว่าจะออกมาบวกหรือลบ หรือว่าจะเป็นได้แค่ตกลงว่าไม่สามารถตกลงกันได้

การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะมีความคืบหน้า หลังจากกระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์ยืนยันว่า คณะผู้แทนของรัฐบาลสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งในวันที่ 7-8 ม.ค. เพื่อเจรจาการค้ากับเจ้าหน้าที่จีน โดยทั้งสองฝ่ายจะหารือกันเกี่ยวกับแนวทางการบรรลุข้อตกลงเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางการค้า

ระหว่างสองวันนี้การเจรจาจะรู้ผลลัพธ์ ราคาหุ้นและดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะหาทางบวกขึ้นไปรอข่าวดีไว้ก่อน โดยเฉพาะราคาหุ้นที่ร่วงมาเยอะมากจนต่ำใต้แนวรับทางเทคนิค

หนึ่งในหุ้นที่น่าจะฉกฉวยโอกาสนี้มากกว่าใคร คือหุ้นแอปเปิล อิงก์ ของสหรัฐฯ รวมทั้งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันพฤหัสบดี สืบเนื่องมาจากการปรับลดคาดการณ์รายได้ของบริษัท แอปเปิล อิงก์

แม้ว่าวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นจะเด้งกลับมาปิดที่ 148.26 ดอลลาร์ต่อหุ้น เมื่อเทียบตั้งแต่เดือน พ.ย. 2018 ราคาหุ้นแอปเปิล หรือ AAPL นั้น ลดลงมากถึง 33% ซึ่งในตอนนั้นมีราคา 222 ดอลลาร์ต่อหุ้น

2 เดือนมานี้ ราคาหุ้น AAPL ลดลงเรื่อย ๆ จากเหตุการณ์ต่าง ๆ และสาเหตุหลักมาจาก iPhone ขายได้น้อย ทำให้ Apple ต้องปรับลดคาดการณ์รายได้ลง ทำให้ราคาหุ้นลดลงตามไปด้วย

การปรับตัวลงดังกล่าว ดูจะสร้างความปวดหัวและเซ็งแก่มือเซียนอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ และบริษัท Berkshire Hathaway ของเขาไม่น้อยเลยทีเดียว

แม้ที่ผ่านมา Berkshire ซึ่งเป็นผู้ที่ถือหุ้นใหญ่ของ AAPL จำนวนกว่า 230 ล้านหุ้น สัดส่วน 5.3% เองดูจะแข็งกว่าตลาด เพราะปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่ S&P 500 ลดลงกว่า 13.5% ช่วงไตรมาส 4 นี้ แถมบัฟเฟตต์เองก็ยังไม่ได้ออกมาพูดหรือทำอะไร เทียบกับช่วงเดือน พ.ค. ที่เขาเคยกล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นว่า “ผมชอบที่เห็นราคาหุ้น APPLE ลง เพราะผมจะได้ซื้อเพิ่ม”

ถ้าสหรัฐฯ กับจีนสามารถตกลงกันได้ในสาระสำคัญของสงครามการค้า วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ Berkshire น่าจะได้รับข่าวดีไปด้วย ถึงแม้ว่าข้อเท็จจริงจะออกมาย้ำว่ายุคทองของแอปเปิล อิงก์ น่าจะผ่านไปแล้ว

ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของแอปเปิล อิงก์ ในการประกาศปรับลดคาดการณ์รายได้ เกิดจากยอดขาย iPhone ที่ชะลอตัวลงในจีน ขณะที่อุปสงค์ของลูกค้าในประเทศอื่นก็ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่บริษัทคาดการณ์ไว้

นอกจากนั้น นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ยังได้ซ้ำเติมอีกว่า แอปเปิลมีแนวโน้มที่จะปรับลดคาดการณ์รายได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า สู่ระดับ 140 ดอลลาร์ จากเดิมที่ 182 ดอลลาร์ และปรับลดคาดการณ์รายได้ของทั้งปีงบการเงิน 2019 ลง 6% สู่ระดับ 2.53 แสนล้านดอลลาร์ รวมทั้งปรับลดคาดการณ์กำไรต่อหุ้นลง 10% สู่ระดับ 11.66 ดอลลาร์ต่อหุ้น

มุมมองแบบโลกสวยว่าสงครามการค้าจะมีทางออกโดยเร็วและง่ายดาย เมินข้อเท็จจริงเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ จากการจับนางเมิ่ง ผู้บริหารระดับสูงของหัวเว่ย เทคโนโลยี ของทางการแคนาดา โดยคำสั่งศาลสหรัฐฯ เป็นการที่สหรัฐฯ ยิงปืนนัดเดียวนกตกลงมาทั้งฝูง เริ่มต้นตั้งแต่สหรัฐฯ ต้องการจะเปิดความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทหัวเว่ยกับกองทัพปลดแอกประชาชนจีน เพราะนายเริ่น เจิ้งเฟย พ่อของนางเมิ่ง ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ยและเคยเป็นวิศวกรประจำกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ทำให้ตอนนี้ประเทศต่าง ๆ ไม่ซื้ออุปกรณ์จากหัวเว่ย เพราะกลัวการรั่วไหลด้านข่าวกรองและการโจมตีทางไซเบอร์

ถัดไปคือ ชาติกำลังพัฒนาจะไม่กล้าซื้อผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ย ทำให้ธุรกิจหัวเว่ยมีปัญหาในระยะต่อไปได้

การกดดันในหลายรูปแบบของสหรัฐฯ ในการทำสงครามการค้ากับจีน ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงทางลบสำหรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายยุทธศาสตร์ของจีนโดยตรงและอ้อม หลังจากที่ล่าสุดหลายเดือนก่อน เคยมีบทวิจัยของธนาคารซิตี้แบงก์แห่งนิวยอร์กยอมรับว่า มี 5 อุตสาหกรรมที่จีนจะเป็นเจ้าเทคโนโลยีโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักถูกเลื่อนออกไป

ความชัดเจนในยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของจีน ทำให้สหรัฐฯ ถือว่าจีนเป็น “ศัตรูทางยุทธศาสตร์” (strategic rival) ทันที เพราะหากจีนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ สหรัฐฯ ก็จะหมดอิทธิพลลงทันทีทั้งทางทหาร และเศรษฐกิจ เกิดภาวะ “กระแสลมพัดกลับบูรพา” ระลอกใหม่ ด้วยการ “โยนทิ้งภาพลวงตา” จากการพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลจากภายนอก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเป็นเจ้าโลกใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ตามที่ระบุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ Made In China 2025 ที่เชื่อกันว่า เป็นยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ รู้สึก “ขุ่นเคือง” มากที่สุด เพราะหากจีนบรรลุได้ จะกระเทือนถึงบริษัทอเมริกันโดยตรงถึงรากฐาน

สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่เริ่มต้นและบานปลายมาหลายเดือน เป็นแค่การเริ่มต้นที่ยังไม่สามารถบอกจุดจบได้ ดังนั้น การเจรจาเพื่อ “พักยก” หรือ “สงบศึกชั่วคราว” จึงไม่น่าจะใช่การสิ้นสุดสงครามการค้า แต่อาจจะเป็นการยกระดับสงครามขั้นใหม่ได้

หุ้นแอปเปิล อิงก์ จึงเสมือนถูกจับเป็นตัวประกันของจีนโดยปริยาย ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต

 

Back to top button