DDD ลั่นรายได้ปี 62 โต 20% รับแผนขยายตลาด-เปิดตัวสินค้าใหม่ต่อเนื่อง

DDD ลั่นรายได้ปี 62 โต 20% รับแผนขยายฐาน-เปิดตัวสินค้าใหม่ต่อเนื่อง


นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายที่จะผลักดันให้ผลประกอบการในปี 62 กลับมาเติบโต โดยตั้งเป้ารายได้เติบโตถึง 20% หลังจากปีก่อนผลงานน่าจะหดตัวจากปี 60 ที่มีรายได้ 1,684.38 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 351.06 ล้านบาท โดยช่วง 9 เดือนแรกของปี 61 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ บริษัทยอมรับว่ารายได้และกำไรที่หดตัวในปี 61 เป็นผลจากการวางแผนจำหน่ายสินค้าผิดพลาดด้วยการพึ่งพิงกลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นหลัก เมื่อนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีนหายไปจำนวนมากทำให้กระทบกับยอดขายของบริษัท ขณะที่ฐานลูกค้าภายในประเทศเองบริษัทไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นมาเพิ่มได้ทันด้วย อีกทั้งในช่วงไตรมาส 4/61 บริษัทยังมีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษ อาทิ การตั้งสำรองสินค้าค้างสต๊อกและสินค้าที่ต้องทำลายทิ้ง มูลค่ารวมเป็นหลัก 10 ล้านบาท

“ปีที่ผ่านมาเรายอมรับว่าเราเดินแผนมาผิดและเราเจอปัญหาค่อนข้างเยอะ เพราะเราไปมุ่งตลาดนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเป็นหลัก ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวหายไปจำนวนมาก ซึ่งเราเห็นปัญหาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/61 แล้ว และเราก็เริ่มแก้ไขตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/61 ทีผ่านมา โดยการที่เราไปบุกตลาดต่างจังหวัด ร้านโชว์ห่วย มากขึ้น ให้ฐานในประเทศไทยแข็งแรงมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถมาครอบคลุมยอดที่หายไปได้ และเรายังมีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษด้วย ทำให้ผลประกอบการไม่ดีนัก” นายปิยวัชร กล่าว

สำหรับแผนงานในปีนี้บริษัทเตรียมขยายตลาดร้านค้าแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) มากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดเมืองรอง เพราะมองว่าหากการกระจายช่องทางขายสินค้าได้มากขึ้นยอดขายก็จะมากขึ้นเช่นกัน พร้อมกันนั้นก็เตรียมทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นมีแผนเปิดตัวสินค้า 4 รายการภายใต้แบรนด์ SNAILWHITE และอีก 4 รายการภายใต้แบรนด์ใหม่ PRETTii FACE

นอกจากนั้นยังมีแบรนด์ “อ๊อกซี่เคียว” (Oxe’ Cure) ที่ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ราว 70-80 ล้านบาท จากปีก่อนมียอดขาย 40 ล้านบาท ด้วยการทำตลาดแบรนด์ดังกล่าวให้มากขึ้น และจะเปิดตัวสินค้าใหม่ 1 รายการ โดยจะเน้นกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกเป็นหลัก เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะชะลอการจำหน่ายสินค้าก่อนที่จะมีการปรับแพคเกจจิ้งและรูปแบบของแบรนด์ใหม่เพื่อเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 63

ส่วนตลาดต่างประเทศในปีนี้ บริษัทมองว่าตลาดที่เคยเป็นหลักอย่างจีนปีนี้อาจไม่มีการเติบโต เนื่องจากการขยายตลาดในจีนค่อนข้างยาก เพราะมีกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ที่เป็นอุปสรรคออกมาเพิ่มเติม และตัวแทนจำหน่ายรายเดิมมีความสามารถค่อนข้างจำกัด ซึ่งบริษัทได้แก้ปัญหาด้วยการตั้งตัวแทนจำหน่ายรายใหม่เพิ่มอีก 1 ราย จึงยังติดตามว่าจะขยายตลาดได้มากเพียงใด ส่งผลให้บริษัทมีการวางเป้าหมายอย่างระมัดระวังมากขึ้น

ขณะที่บริษัทหันมาให้ความสำคัญกับการขยายตลาดฟิลิปปินส์ภายใต้บริษัท Do Day Dream KCA Corporation เนื่องจากมองว่าจะเป็นปัจจัยบวกค่อนข้างชัดเจน โดยคาดว่าจะมียอดขายในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท ซึ่งบริษัทเตรียมออกสินค้าใหม่เข้าไปจำหน่ายเพิ่มเติมด้วย ส่วนที่เหลือจะมาจากตลาดฮ่องกงที่ก็มีการเติบโตได้ค่อนข้างดี

นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายเพิ่มเติมในอีก 1 ประเทศ จาก 3 ประเทศที่ศึกษาอยู่ คือ อินโดนีเซีย ไต้หวัน และเวียดนาม โดยบริษัทอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะเข้าไปจัดตั้งบริษัทเหมือนในฟิลิปปินส์ หรือจ้างผู้กระจายสินค้า

พร้อมกันนี้บริษัทยังได้มีการเจรจาเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนอย่างน้อย 1 รายในปีนี้ ซึ่งจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจสกินแคร์ อาหารเสริม และเครื่องสำอาง มูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

“ปีนี้เราตั้งเป้าที่จะมีอัตรากำไรสุทธิกลับมาที่ระดับไม่ต่ำกว่า 20% เท่าเดิม จากปีก่อนที่คาดว่าคงจะต่ำกว่า 9 เดือนแรกที่ทำได้ 16.98% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นตามยอดขาย และตลาดนักท่องเที่ยวที่จะกลับมาเหมือนเดิม และปีนี้เองบริษัทจะเน้นการการกระจายสินค้าไปยังตลาดต่างจังหวัด ที่เป็นเมืองรองมากขึ้น หรือที่เรียกว่าร้านค้าแบบดั้งเดิม จากเดิมมีการขยายตลาดเพียงในเขตกรุงเทพ และหัวเมืองหลักต่างๆ เรายังต่างจากพวกแบรนด์หลักๆอยู่ เพราะเค้าสามารถขยายตลาดไปยังร้านค้าต่างๆได้ค่อนข้างมาก ไม่ว่าตามหัวเมืองหลัก ต่างอำเภอ ตำบลขนาดเล็กๆ  ซึ่งเราก็หวังว่าเราจะเติบโตได้แบบแบรนด์หลักๆที่มีอยู่” นายปิยวัชร กล่าว

นายปิยวัชร กล่าวอีกว่า บริษัทวางแผนงานในระยะ 5 ปี (61-65) ตั้งเป้ารายได้ราว 4,000-5,000 ล้านบาท และจะส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดให้ทั่วถึงมากขึ้น เพื่อผลักดันส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 12% ในตลาดสกินแคร์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 3% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 70,000 ล้านบาท โดยจะเน้นการขยายตลาดไปยังกลุ่มร้านค้า Traditional Trade ที่เป็นช่องทางขายที่มีส่วนแบ่งตลาดสกินแคร์ 30,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยให้บริษัทมีความเข้มแข็งมากขึ้น ขณะที่ตลาดร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) มีมูลค่าส่วนแบ่งตลาดราว 35,000 ล้านบาทนั้นบริษัทมีความเข้มแข็งและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

“แผน 5 ปีของเรา เราก็จะมีการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อที่จะให้แบรนด์ของบริษัทเป็นที่รู้จัก และไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์ที่ชาวต่างชาติเข้ามาซื้อเพื่อเป็นของฝากเท่านั้น แต่จะเป็นแบรนด์ที่ทุกคนมองว่าเป็นสินค้าที่ต้องซื้อใช้ เหมือนกับแบรนเจ้าตลาดอื่นๆ และเราจะเน้นการเข้าซื้อเบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มเติม และการพัฒนาแบรนด์ใหม่ๆ ขึ้นมาเองด้วยเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้ทุกกลุ่ม” นายปิยวัชร กล่าว

Back to top button