ตรรกะป่วยๆและมักง่าย

ก็ยังคงเป็นเรื่องถกเถียงกันไม่รู้จบสิ้นอยู่แหละครับว่า เศรษฐกิจฟื้นแล้วหรือยังไม่ฟื้น ซึ่งก็แน่นอนว่า ฟากฝั่งรัฐบาลก็ยืนกรานว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้ว ใครบอกว่า ไม่ฟื้นเป็นมีเรื่อง อาทิเช่น รมว.สุวิทย์ เมษิณทรีย์ ไปหลุดปากให้สัมภาษณ์เหตุผลความจำเป็นที่ต้องใช้นโยบายแจกเงิน เพราะ “ประชาชนอดอยากจะตายอยู่แล้ว”


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

ก็ยังคงเป็นเรื่องถกเถียงกันไม่รู้จบสิ้นอยู่แหละครับว่า เศรษฐกิจฟื้นแล้วหรือยังไม่ฟื้น ซึ่งก็แน่นอนว่า ฟากฝั่งรัฐบาลก็ยืนกรานว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้ว ใครบอกว่า ไม่ฟื้นเป็นมีเรื่อง อาทิเช่น รมว.สุวิทย์ เมษิณทรีย์ ไปหลุดปากให้สัมภาษณ์เหตุผลความจำเป็นที่ต้องใช้นโยบายแจกเงิน เพราะ “ประชาชนอดอยากจะตายอยู่แล้ว”

เท่านั้นแหละ ผู้นำรัฐบาลถึงกับ “ควันออกหู” เกิดรายการตำหนิบริภาษกันอย่างรุนแรงในที่ประชุมครม. และก็เป็นที่มาของข้อห้ามปรามว่า อย่าได้เอานโยบายรัฐบาลไปใช้หาเสียงทางการเมือง แม้ว่า พรรคการเมืองนั้น จะเป็นพรรคชื่อ “พลังประชารัฐ” ที่เชิดชูว่าที่นายกรัฐมนตรีหมายเลข 1 คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ตาม

ไม่อยากจะเอ่ยกล่าวถึงเสียงร่ำลือหนาหูด้วยซ้ำว่า ผู้ชายคนนี้แหละ หัวหน้าพรรคตัวจริงเสียงจริง เพียงแต่รีรอจะเป็นนายกฯตามแผน 1 ที่รับคำเสนอ หรือนายกฯตามแผน 2 ที่รับเทียบเชิญเท่านั้น

ฝ่ายรัฐบาลโชคไม่ดีนัก ที่ดันไปยืนความเห็นฝั่งตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ตั้งแต่ชนชั้นรากหญ้า ชนชั้นกลางที่หากินได้อย่างจำกัดจำเขี่ย เศรษฐีหรือมหาเศรษฐีที่พบเห็นว่า เศรษฐกิจฝืดเคืองหนักยิ่งไปกว่าเดิม จนกระทั่งบางส่วนของผู้คนที่เคยเป่านกหวีด ชัตดาวน์ปิดประเทศ และกวักมือเรียกทหารเข้ามา

ครับ ก็เป็นทั้งความโชคไม่ดีและความจำเป็นที่ต้องยืนกรานว่า เศรษฐกิจฟื้นแล้ว แม้จะต้องไปมันข้าง ๆ คู ๆ กับ “นโยบายแจกระห่ำ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจชาติ” จึงมักจะมีข้อมูลอะไรที่ย้อนแย้งกันอยู่เสมอ

จำได้ว่า ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เคยประกาศลั่นทุ่งเมื่อปลายปี 2560 ในงานสัมนา “ไทยแลนด์ 2018 จุดเปลี่ยนและความท้าทาย” ว่า คนจนจะหมดประเทศภายในปี 2561

แต่แล้ว “ยอดคนจน” ที่วัดจากสถิติการจดทะเบียนบัตรคนจนในแต่ละปีกลับพุ่งเอา ๆ โดยปี 2559 มียอดคนจนจดทะเบียนบัตรสวัสดิการรัฐ 8.3 ล้านคน ปี 2560 กลับเพิ่มขึ้นอีกเป็น 11.4 ล้านคน และปี 2561 ปีไฮไลต์ที่ท่านสมคิดประกาศเลยนั่นแหละว่า คนจนจะหมดประเทศ ดันมียอดบัตรสวัสดิการฯ พุ่งพรวดขึ้นอีก 3 ล้าน เป็น 14.5 ล้านคน

ไหนว่าหมดกลับเพิ่ม ! แต่ก็อ้างพอกล้อมแกล้มกันไปซะอีกว่า ที่ยอดคนจนเพิ่มเพราะคนไม่รู้ จึงมีการมาลงทะเบียนกันในภายหลัง

นี่ก็จะเอากันอีก รัฐบาลจะขยายโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐควบคู่ไปกับการฝึกอบรมอาชีพต่อไปอีก 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย. 2562) โดยผู้สมัครเข้ารับการอบรมจะได้รับการอัดฉีดเพิ่มฟรีอีก 200 บาท/คน ซึ่งนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ผู้เป็นขุนคลังจอมแจกไปแล้ว รับประกันว่า ไม่ใช่โครงการหาเสียงล่วงหน้า อย่างที่มีกระแสโจมตีแต่อย่างใด

แต่เป็นนโยบายรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือผู้มีฐานะยากจน 4 ล้านคน ที่มีรายได้ต่ำกว่า “เส้นยากจน” ซึ่งก็คือมีรายได้ไม่ถึง 30,000 บาท/ปีนั่นเอง

ขุนคลังผู้เป็น “ป๋าใจป้ำ สปอร์ต กทม.” ก็ยังเอ่ยอ้างด้วยความภาคภูมิใจว่า ผู้ผ่านการฝึกอบรมอาชีพรุ่นแรกกว่า 2 ล้านคน ไปประกอบอาชีพจนมีรายได้พ้น “เส้นยากจน” ไปแล้วถึงกว่า 1 ล้านคน

ความจริง มันก็น่าดีใจอยู่หรอกนะ หากปีหนึ่งที่ทำโครงการแจกเงินพร้อมฝึกอาชีพ  จะปลดเปลื้องความจนให้กับคนยากได้ถึง 1 ล้านคน แต่สำรวจกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็เพิ่งเป็นข่าวนี่แหละ ตัวตนใครเป็นผู้สำรวจก็ไม่มีการระบุถึง รวมทั้งแบบประเมินผลสำรวจ

จึงแทนที่จะเป็นน่าภาคภูมิใจ กลับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจแทน

ลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวง ก็ทำหน้าที่เสริมเจ้ากระทรวงโดยไม่ขาดตกบกพร่องว่า ผ่านไป 1 ปี ณ สิ้นปี 2561 โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพร้อมฝึกอบรมอาชีพ ใช้งบประมาณไป 1.2 แสนล้านบาท ทำให้คนหายยากจนหรือพ้นเส้นความยากจนไป 1 ล้านราย จึงจะต่อโครงการไปอีก 6 เดือน

รายนี้ ก็ไม่บอกอีกเหมือนกันว่า เอาใครมาสำรวจ หรือจะบอกเองว่าเป็นสศค.เองและสำรวจโดยวิธีใดก็บอกมา

ตรรกะแก้จน โดยวิธีการแจกระห่ำ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ คงจะเป็นต้นแบบที่เอาไปใช้กันทั่วโลก ???

Back to top button